11/30/2010

อองกูเล็ม

(พาเที่ยว อองกูเล็ม)









“ทำใมชายฝรั่งเศสนี่ประหยัดจังเลยนะลี” วาเอ่ยทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หย่อนก้นลงนั่งด้วยซ้ำไป
“อื้ม” ฉันตอบ.. “ทำใมล่ะ..เค้าขี้เหนียวหรือไง”
“ประหยัดน่ะ..หยิ่งๆ ด้วย ไม่ค่อยอยากจะง้อ จะสนใจฉันเท่าไหร่เวลาที่ฉันโกรธ” วาเล่า
“ก็ไม่รู้นะ.. เธอไม่โปรดหรือไง”...... ไม่มีคำตอบจากวา..

“เออ ไปเดินเที่ยวกันมั๊ยลี..ไปเดินตัวเมืองกัน”
“เค้ารู้จักเธอนะลี... เค้าบอก”..... ฉันเงียบ...จะมารู้จักฉันได้ยังไง เพราะฉันยังไม่รู้จักใครเลย
ฉันคิดในใจ...แล้วก็ฟังว่าเธอจะพูดอะไร  แต่วาก็ไม่พูด แต่ก็ออกเดินกัน ฉันก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

“ลี... ฉันไม่ค่อยแน่ใจเลยว่า เราจะเข้ากันได้”  “ฉันอยากให้เค้าส่งเสียฉันน่ะ”  วาพูดต่อ
ฉันไม่อาจจะพูดอะไรได้..ค่อนข้างเข้าใจความรู้สึกเธอ  เพราะการที่จะอยู่แบบนี้ในประเทศนี้
มันก็ค่อนข้างเสี่ยง อีกทั้ง หกปีของความรักครั้งก่อน ของเธอคงเป็นประสบการณ์อันยิ่งใหญ่

ฉันรู้จักเธอดี.. หากมองผ่านๆ หลายๆ คนคิดว่าเธอไม่เคยจริงจังอะไรกับใครมากนัก นั่นเพราะเธอปฏิบัติตัวแบบไม่แคร์สื่อ
 
................................................................................................................
                               
                                

                                         




วากับอเล็กซ์ เจอกัน ตอนที่ไปทำฟันในร้านหมอฟัน ที่กรุงเทพฯ อเล็กซ์ ตกหลุมรักเธอ เพราะเธอยิ้มสวย ฉันก็รู้สึกว่าเธอยิ้มสวย เวลาเธอยิ้ม โลกทั้งใบ สว่างไสว ยังกะน้องพอลล่า เลยทีเดียว
วันที่เจอกับอเล็กซ์ วันแรก พวกเค้าก็ ไปทานมื้อเย็นกัน ที่ร้านอาหารริมน้ำแถวพระรามสาม
หลังจากนั้นสองคนก็อยู่ด้วยกัน ด้วยความรักความเข้าใจ จนวันหนึ่ง ที่ความรักหายไป วาต้องหิ้วกระเป๋าสองใบ ที่เคยหิ้วจากเมืองไทยนั่นแหละ ออกไปอยู่คนเดียวและรับผิดชอบตัวเอง
การเรียนก็ต้องยกเลิกไปโดยสิ้นเชิง..
หกปีที่ผ่านมา สอนเธอให้รู้ว่า การบูชาความรัก โดยไม่ได้หวังเงินทอง นั้นเป็นเรื่องเพ้อฝัน อย่างสิ้นเชิง...
ฉันเองไม่คิดว่าเธอจะเปลี่ยนจากคนที่ เทิดทูนความรัก มามองเรื่องเงินกับความมั่นคงอยู่รอดเป็นสำคัญได้ขนาดนี้
......................................................................................................................



เราผ่านถนนเล็กๆ หลายสาย เดินขึ้นเนินลงเนิน... ก็สวยนะสำหรับเมืองนี้
บางตึก เค้าวาดการ์ตูน อย่างสวยงามและโดดเด่น สมกับเป็นเมืองแห่งศิลปะจริงๆ
เราคุยกันไปเดินไป... จนรู้สึกได้ว่า มันเริ่มจะคลื้มๆ ลงไปทุกที


แหงนมองท้องฟ้า เอาล่ะหว่า ฝนทำท่าจะตก..
มันหนาวด้วยสิ แต่ก็หนาวไม่เพียงพอจะเป็นหิมะ
ตอนเดินออกมายังมีแดดจ้าอยู่เลยนะ  แล้วตอนนี้เราสองคนก็เดินออกนอกเมืองมาแล้วด้วยซี
อีกแค่กิโมเมตรกว่าๆ ก็จะถึงบ้านแล้ว
แล้วฝนก็เริ่มลงเม็ด โปรยลงมา... ลมพัดปะทะผิวหน้า มันหนาวได้ใจจริงๆ นะ
ฉันบอกให้วา วิ่ง..เพราะหากว่าฝนตกหนักกว่านี้เราจะแย่ เพราะอีก กิโลเมตรกว่าๆ นี่ก็งานหนักพอสมควร





เราสองคนวิ่งมาเรื่อยๆ ไม่มีรถผ่านมาเลย.. ฉันยังนึกอยู่ว่า ถ้ามีรถผ่านมาเค้าจะจอดรับเราหรือเปล่านะ
และฝนก็ตกหนักกว่าเดิม กางเกงยีนส์เริ่มเปียก ขารู้สึกเย็นมาก แทบจะชา อยู่ร่อมล่อ
ได้ยินเสียงรถผ่านมา..เราสองคนดีใจมาก ลองโบกรถกลับบ้านดูสิ... เพราะมันหนาวเกินไปที่จะมาวิ่งอยู่ตรงนี้...

เค้าไม่จอดนะ.... ฉันมองหน้าวา... อย่างเศร้า..นี่ถ้าเป็นเมืองไทย จะมีคนใจร้ายปล่อยให้สองสาว วิ่งตากฝนต่อไปหรือเปล่านะ..

และที่ร้ายกว่านั้น เม็ดฝนที่ตกลงมานี้ มันปนมากับน้ำแข็งเล็กๆ มันน่าจะกลายเป็นหิมะนะ ทำใมเป็นแค่ลูกเห็บแบบนี้นะ  หรือหนาวยังไม่พอ ฉันก็ไม่เข้าใจปรากฏการณ์สักเท่าไหร่..แต่ที่แน่ๆ หนาวมาก 
เราสองคนวิ่ง เหนื่อยแทบขาดใจ...รู้สึกน้อยใจมาก ว่าทำใมคนที่นี่เค้าถึงแล้งน้ำใจได้ขนาดนี้
หรือว่าเค้าก็กลัวเรา....

แต่ถ้าเป็นฉัน... คงทำใจไม่ได้หรอก ที่เห็นสองคนวิ่งลุยฝนอยู่กลางทุ่งแบบนั้น .... เพราะอากาศแบบนี้ฆ่าคนได้เหมือนกัน    

หรือฉันมันใจดีเกินไป?