11/26/2010

เที่ยว กัวลาลัมเปอร์ และการทำวีซ่าเข้าไทยของต่างชาติ Travel Malaysia,Kuala Lumpur






ทริปนี้ พาอาเฮียไปเที่ยว เค้ารักเรามากขึ้น ทำใมน่ะเหรอ... ตามอ่านค่ะ

ทริปนี้ เริ่มการเดินทางจาก ภูเก็ต และ เที่ยวบินขากลับ ตรงไปกรุงเทพฯ  
ฉันออกจาก สนามบินภูเก็ต เที่ยวบิน 8.30 เช็คอิน ตอน เจ็ดโมงครึ่ง (ออกมารอขึ้นรถชัตเตอร์ บัสไปแอร์พอร์ต ที่หน้าบิ๊กซี ตอนหกโมงเช้า)
เมื่อถึง สนามบิน LCCT  กัวลาลัมเปอร์ ตอน สิบโมงกว่า ก็ออกไปขึ้นรถ ซัตเตอร์บัส หน้า สนามบิน
เพื่อไปต่อ รถไฟ เข้าตัวเมือง...
วันนี้เราไปแลกเงิน ที่ เคแอล เซ็ลทรัล ได้เรทดีกว่าที่สนามบินค่ะ (ประมาณ 9 บาทกว่าๆ ที่สนาบิน สิบบาทนิดๆ แต่ขากลับมาแลกที่สนามบินค่ะ ได้เงินไทยคืนมามากกว่า )
และ เวลาที่กัวลาลัมเปอร์ เร็วกว่า ไทย หนึ่ง ชั่วโมงนะจ๊ะ
และก็นั่งรถไฟเข้าเมืองค่ะ  ใหม่มาก สวยมากทีเดียว (มากกว่ารถไฟในปารีส อย่างแน่นอน)
นั่งเพลินๆ ชมวิว ผ่านเมืองใหม่ ที่มี ปูตราจายา ผ่านสวนปาร์ม มากมาย รู้สึกว่า ที่นี่ เต็มไปด้วยสวนปาร์ม แทบจะไม่มีต้นไม้ชนิดอื่นเลยทีเดียว


การหาที่พักตรง สถานี เคแอล เซ็นทรัล ต้องเดินออกมาทางซ้ายมือ เมื่อเดินออกจาก รถไฟด่วน (เคแอลเกลีย) เดินออกไปทางเดียวกับไป สถานี มอนอแรล

แต่ในที่สุดก็หาโรงแรมเจอ... เป็นโรงแรม มาย โฮเต็ล... เราไม่ได้จองหรอก เพราะมีคนแนะนำในเน็ตว่า มีโรงแรมเยอะแยะ ไม่ต้องจอง ให้ขึ้นไปเลือกดูห้องได้  เราก็ดูราคาโรงแรม ทางเว็บไซด์
ราคาอยู่ที่ พันต้นๆ  แต่พอไปถึง และติดต่อเค้าท์เตอร์  พนักงานบอกว่า  1,950 โห แพงกว่าเยอะจัง (พนักงานบอกเหลือห้องเดียวด้วย อย่าไปเชื่อนะ เค้าชอบหลอก โดนหลายรายการเลยทีเดียว) เราขอคิดดูก่อน
เดินออกมา ด้นหน้า เจอ โรงแรมชื่อ แม็กซิโก... เข้าไปดูห้อง มีห้องน้ำในตัว ราคา 800 บาท แต่ไม่มีอาหารเช้า แต่ห้องสะอาด และสวยเพียงแต่ไม่มีหน้าต่าง ขนาดห้องก็กว้างพอๆ กับ มายโฮเต็ล ก็เลยตัดสินใจพักที่นี่



วันรุ่งขึ้น ออกไปติดต่อ กงสุลไทย เพื่อทำวีซ่า ออกไปขึ้นรถไฟ ที่ สถานีเคแอลเซ็นทรัล
 แล้ว นั่งไปลง Ampang (แล้วออกเดิน ตามรูปค่ะ ประมาณ ป้ายรถเมล์กว่าๆ)ไปถึงมีคนรอคิวเยอะมาก เป็นร้อยเลยทีเดียว
(เอกสารที่ต้องเตรียม ที่หมายเหตุด้านล่างนะจ๊ะ)
กงสุลเปิดรับการขอวีซ่า แค่ช่วงเช้า (เหมือนกับที่เวียงจันทร์)   ตอนบ่ายสำหรับรับพาสปอร์ตคืน 



มีฝรั่งชาวออสซี่(มั๊ง) มาขอวีซ่า แล้วไม่ได้เตรียมเงินให้พอดีกับค่าวีซ่า  เจ้าหน้าที่ไม่ทอนเงิน
ให้ (เจ้าหน้าที่กงสุลไทยที่นี่ขึ้นชื่อ เรื่องหน้ายักษ์ บริการห่วยแตก เรียกว่าไม่ประทับใจกันทั่วหน้าเลยแหละ ฝรั่งที่มาเจอด่านแรกแบบนี้ สยองกันไปเลย เสียภาพพจน์จริงๆ)
เรื่องเตรียมเงินให้พอดี เราๆ ก็พอจะรู้ๆ กันบ้างแหละ และส่วนใหญ่ก็เตรียมกันไปพอดี ของใครของมัน แต่ วันนี้ที่เจอรายเดียวเอง ที่ไม่ได้เตรียมเงินให้พอดี ก่อนหน้าเค้าคนนี้ก็เตรียมพอดีกันทุกคน

เจ้าหน้าที่ก็น่าจะทอนคืนให้เค้า เพราะเห็นมีเงินเล็ก เกินพอที่จะทอน แถมปั้นหน้าเป็น ยักษ์ขมูขี อีกตะหาก โยนเงินและเอกสารของเค้าคนนั้น ออกมา ตรงช่อง ยื่นเอกสาร

เค้าก็หันมาถาม ว่ามีใครพอจะให้เค้าแลกเงินได้มั๊ย... เราสองคนก็ไม่มีพอให้เค้าแลก แต่โชคดีที่ ศรีภรรยาฝรั่งท่านหนึ่ง เธอมีให้แลก ก็เลยจบด้วยรอยยิ้ม..
แต่ในใจของคนทุกคนคือ ได้รับความรู้สึกเดียวกัน ว่า เจ้าหน้าที่ กงสุลไทย แผนกวีซ่า ไม่รับแขกเลย ทำกิริยาน่าเกลียด น่าอายจริงๆ

การทำวีซ่านี้ เป็นวีซ่าท่องเที่ยวค่ะ สำหรับต่างชาติ ที่ต้องการมาเที่ยวและไม่ได้ แต่งงานกับชาวไทย
ดังนั้น วีซ่าที่ได้จะ แค่ 60 วัน ซึ่ง หากต้องการอยู่ต่อมากกว่านั้น เราจะต้องไป สแต้มที่ ตม. ในแต่ละจังหวัด ต้องเสียค่าธรรมเนียม 1,900 บาท ต่อหนึ่งสแต้มนะคะ และอยู่ต่อได้อีก 30 วัน รวมเป็น  90 วัน นะคะ  (ไม่จำเป็นต้องเข้า กรุงเทพฯนะคะ ไปที่ ตม ใหนก็ได้ในแต่ละจังหวัด)
หากว่า เก้าสิบวันแล้ว ต่างชาติท่านนั้นต้องออกนอกประเทศ เพื่อไปขอวีซ่าเข้ามาใหม่ และเริ่มนับ อีก ที่  60 วัน และ อีก 30 วัน ในการสแต้มหนึ่งครั้ง


ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้ากรณี มีวีซ่าอื่นๆ  เช่น  Business visa, Visa non-o นั่นจะอีกกรณีนะคะ ไม่เหมือนกัน (อย่าสับสนนา) 
และ การสแต้ม กรณีที่เดินทางเข้าเมืองไทย โดยสารมาทางเครื่องบิน กับ โดยสารมาทางภาคพื้นดิน  ตม. จะสแต้ม ระยะเวาลาให้ไม่เหมือนกันนะคะ


ตม. อธิบายว่า กรณีไม่มีวีซ่า และเข้ามาทางภาคพื้นดิน เค้าจะ สแต้มผ่านเข้ามาอยู่ในไทย ได้แค่ สอง สัปดาห์ เท่านั้น  แต่ถ้ามาทางเครื่องบิน สามารถอยู่ไทยได้  30 วันโดยไม่ต้องมีวีซ่า


หากมีวีซ่า แต่เป็น ซิงเกิลวีซ่า นั่นก็แปลว่า ห้ามออกจากไทย ระหว่างวีซ่าหมดอายุ ที่ 60 วัน ถ้าออก ถือว่า วีซ่านั้น หมดอายุ (ถามข้อมูลเพิ่มเติม ทีหลังได้ค่ะ)
ตกเย็นเราไปกินร้านอาหารญี่ปุ่นในตึกแฝด อร่อยดีนะ พ่อครัวเดินออกมาถามด้วยว่า อาหารเค้าใช้ได้มั๊ย ประทับใจจังเลย





ที่กัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็น มุสลิม  เวลาไปกินอาหาร เราสามารถตักเองได้ เค้าจะคิดเงินเราตามจำนวนที่เราตัก และยังมี วัฒนธรรม กินมือ โดย ใส่อาหารในใบตอง อีกด้วย

เรื่องเครื่องดื่ม ฉันต้องแอบถามอย่างสุภาพว่า  พอจะมีเบียร์มั๊ยคะ เค้าจะรีบตอบเลยว่า มีนะ ไม่ได้โชว์ (เออเน๊อะ)  ก็เลยได้จิบเบียร์ ในเขตมุสลิม
ตกเย็นของวันนี้ ออกไปเดิน ไชน่าทาวน์ ตรงใกล้ๆ กับที่พัก เป็นถนนคนเดิน มีร้านอาหาร  มีร้านนั่งจิบเบียร์  อาหารหลากหลายมาก แต่ราคาจะแพงกว่า ร้านทั่วไปที่เราเดินกินแถวๆ เคแอลเซ็นทรัล  






การเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ ไม่ค่อยประทับใจเรื่องการบริการ เท่ากับประเทศลาว หรือ ประเทศไทย
แต่เมื่อไหร่ที่มาเดินประเทศมุสลิม ควรระมัดระวังเรื่อง การแต่งตัว เพราะเราใส่แบบ ไม่โป๊ ก็ยังถูกมองยังกับแก้ผ้าเดิน เลยทีเดียว

กลางคืนจะหา ผับเพื่อนั่งฟังเพลงในเขตที่พัก ก็ลำบากมาก  (คือ มันไม่มีเลยอ่ะนะ) ไม่เหมือนกรุงเทพฯ หรอก  ที่มีร้านทุก  30 เมตรในเขตบางเขต... และทุก 10 เมตรในเขตบางเขตเลยทีเดียว...
สาวๆ ที่นี่ ไม่ยิ้ม คนที่นี่หน้าตาไม่เป็นมิตร จะกิน จะเดิน หลงทางก็เรื่องของคุณ ชั้นรีบไป (เหมือนปารีสเน๊อะ)

การเที่ยวที่นี่ สะดวกสบายเรื่องการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า (ถูกกว่ารถไฟฟ้าบ้านเรา) แต่สายตาที่มองพวกเรา เหมือนจะประกาศสังครามยังไงยังงั้น 
เวลาจะกิน ก็มีความรู้สึกว่า ต้องไปไหว้เค้าขอข้าวกิน ทั้งๆที่ ต้องจ่ายเงิน... รอยยิ้มเหรอ ไม่เจอหรอก ..เออเน๊อะ

นี่แหละ พอกลับไทย อาเฮีย รักคนไทยมากขึ้น รักศรีภรรยาสุดใจขาดดิ้น... เค้าบอกว่า ถ้าอยู่กัวลาลัมเปอร์คนเดียว ต้องตายคนเดียว ไม่มีใครเหลียวแล...  ให้มันรู้ซะบ้าง หุหุ


หมายเหตุ... รายละเอียดเรื่องการขึ้นรถไฟ ไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับ วีซ่า ตามไปอ่านต่อในเว็บ นี้นะจ๊ะ


เอกสารการขอวีซ่า
1.แบบฟอร์ม
2.รูปถ่ายสองนิ้ว  หนึ่งรูป
3.พาสปอร์ต ถ่ายทุกหน้าในเล่ม
4.เงินเป็น ริงกิตค่ะ  ( 1 ริงกิต = 9.xx บาท ณ กค 2553)  มีคนบอกจ่ายเป็นดอลล่าก็ได้ค่ะ แต่ต้องเตรียมให้พอดี
5.เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรเตรียมเผื่อ เช่น สเต้ทเม้นต์ และ หนังสือการพำนักในประเทศไทย (โดยปกติไม่ต้องใช้เพราะเป็น วีซ่าท่องเที่ยว)   
6.ปากกาเอาไว้เขียน


เที่ยวลาว และ การขอวีซ่าท่องเที่ยวไทย สำหรับ ต่างชาติที่ เวียงจันทร์ ค่ะ
http://wwwlifeinfrance.blogspot.com/2010/11/thailands-tourist-visa-at-vientiane.html