ฉันก็ไม่รู้ว่า มันจะกระทบใครบ้าง แต่ฉันก็ไม่ได้หวั่นว่าเค้าจะพอใจหรือไม่พอใจ เพราะเรื่องราวหลังกำแพงเมืองอื่นนั้น...ยากที่จะเข้าใจหากไม่ได้รับการเปิดเผย...และ สาวเอยทั้งหลายก็จะใฝ่ฝันแต่เรื่องดีๆ โดยไม่เฉลียวใจ และลืมเรื่องที่ไม่ดีไปโดยเกือบจะสิ้นเชิง...
ขอบคุณผู้เขียนเรื่องนี้... ฉันอยากบอกว่า ขอบคุณค่ะ แทนทุกคนที่มาอ่านค่ะ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=deo&date=19-02-2007&group=10&gblog=1
สาวเอย....จะบอกให้หลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนชาวเยอรมันคนหนึ่ง ซึ่งรู้ว่าฉันต้องการและกำลังหาคนงานอยู่ จึงได้โทรมาถามฉันอย่างเร่งด่วนเอาตอนเกือบสี่ทุ่มว่า ตอนนี้มีผู้หญิงไทยคนหนึ่งต้องการความช่วยเหลือด่วน เขาคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ถ้าฉันสนใจให้ความช่วยเหลือผู้หญิงคนนี้ โดยการรับเข้ามาทำงานที่ร้านของฉัน เมื่อได้ฟังรายละเอียดคร่าวๆ ถึงที่มาที่ไป ของเธอคนนั้นแล้วฉันก็รู้สึกหดหู่ใจ กับชะตาชีวิตของเธอเหลือเกิน
และสืบเนื่องมาจากเมื่อ 2-3 วันก่อน ที่เราเพิ่งได้รับภาพที่เพิ่งส่งเข้ามาใหม่ อีกปึกใหญ่เพื่อให้ลงอินเตอร์เน็ต
ฉันหยิบรูปขึ้นมาเปิดดูเหมือนทุกครั้งที่ได้รับ ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนที่ฉันเคยๆ เห็น คือมีรูปถ่ายและรายละเอียดจากสาวน้อยสาวใหญ่ มากหน้าหลายตา ทั้งจากความรู้แค่ ป.4 ถึงระดับปริญญา และมีที่มาทั้งจากกรุงเทพ เหนือ กลาง และอีสาน
แต่มีอยู่ 3 ภาพที่ฉันเห็นรู้สึกสะดุดตาและความรู้สึก
ภาพหญิงสาวในชุดครุยที่นอนยิ้มหน้าระรื่นบนสนามหญ้า ในวันรับปริญญา ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเธอจะเข้าใจแค่ไหนนะว่า บางทีชีวิตที่เมืองนอกมันก็ไม่ได้เลิศเลอสวยงามนักหรอก
ภาพหญิงสาวที่นอนยิ้มหวานอยู่บนพื้นผ้ากำมะหยี่สีแดง โดยมีผ้าอีกผืนพันกายอยู่ พอให้เกิดจินตนาการไปว่า ร่างกายของเธอคงมีเพียงผ้าผืนนั้นปกปิดอยู่เท่านั้นเอง ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าเธอคาดหวังอะไรบ้าง
ภาพเด็กสาวที่ฉันคาดคะเนไว้ว่า น่าจะเพิ่งใช้คำนำหน้าว่านางสาวได้ไม่นาน กับผมบ๊อบทรงนักเรียนมัธยม ฉันอยากถามหนูน้อยคนนั้นว่า อะไรเป็นสาเหตุให้เธอคิดใช้บริการจัดหาคู่เสียแล้ว
ฉันจึงอยากเขียนบอกเล่า เรื่องราวและประสบการณ์ช่วงหนึ่งในชีวิตของฉัน จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อการส่งเสริมแนะนำ แต่เผื่อเป็นประโยชน์และข้อคิดกับคนอื่นๆ บ้าง
----------------------------------------------
ฉันยอมรับว่าเป็นหญิงสาวจากที่ราบสูงคนหนึ่ง กับความรู้แค่ ม.2 ที่ได้สามีชาวต่างชาติโดยใช้บริการจัดหาคู่ ปัจจุบันแต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศเยอรมันได้ 4 ปีกว่า และฉันยอมรับว่าชีวิตความเป็นอยู่ของฉันก็ดีขึ้นในระดับหนึ่ง มีบ้าน มีรถ มีที่ดิน ที่เมืองไทย ฉันบินกลับไปเยี่ยมบ้านปีละ 2 ครั้ง แต่ทั้งหมดก็มาจากน้ำพักน้ำแรงของฉันเองทั้งสิ้น และจากการทุ่มเททำงานของฉัน
ฉันเริ่มทำงานตั้งแต่หลังแต่งงานได้แค่ 4-5 เดือน ฉันไม่ได้เข้าโรงเรียนเพราะเมืองที่ฉันอยู่นี้ เป็นเมืองเล็กๆ คอร์สสอนภาษาเยอรมันจะเปิด ก็ต่อเมื่อมีนักเรียนต่างชาติอย่างน้อยต้องหกคน งานที่ฉันทำตั้งแต่ต้นจนปัจจุบันคือหมอนวด ส่วนงานอื่นๆ เช่น งานโรงงาน งานทำความสะอาดสำหรับที่นี่แล้ว ฉันหมดสิทธิ์จะคิด โดยฉันหวังแค่พอให้ตัวเองมีงานทำ และมีรายได้เป็นของตัวเองก็เท่านั้น เพราะฉันยังมีลูกที่เมืองไทยที่ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู
ซึ่งงานที่ฉันทำก็ไปได้สวย ชนิดที่ฉันเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ผู้คนในเมืองนี้ให้การยกย่องชมเชย ในการทำงานของฉัน จนร้าน Thaimassage ของฉันยังเป็นที่เลื่องลือว่า กว่าจะได้นวดสักชั่วโมงนั้น ต้องรอ 4-5 เดือน แต่ไม่ต้องเข้าใจว่าฉันคงรับทรัพย์อื้อนะ เพราะฉันก็มีแค่สองมือ ในหนึ่งวันก็มี 24 ชม เท่าเดิม เพราะฉะนั้นถึงตารางนัดจะยาวเหยียดสักแค่ไหน หรือเต็มล่วงหน้าแค่ 1-2 วัน ก็มีค่าเท่ากัน
ตัวฉันเองก็ไม่ค่อยภาคภูมิใจสักเท่าไหร่แล้วล่ะ เพราะมากเกินไปฉันก็มีแต่ปัญหาใหม่ๆ ให้เรียนรู้อยู่เสมอ หลังจากอยู่ได้ไม่ถึง 2 ปีดีนัก ฉันก็สามารถสอบใบขับขี่ได้ ด้วยข้อสอบภาษาเยอรมัน ทั้งภาคทฤษฎีและปฎิบัติฉันสอบครั้งเดียวผ่าน โดยใช้เวลาเรียนสองเดือนครึ่ง
ด้วยอะไรที่ดูเหมือนจะราบรื่น สดใส ฉันจึงกลายเป็นตัวอย่างและแรงจูงใจให้ อีกหลายคนคิดว่าชีวิตเมียฝรั่งนั้นช่างสวยงาม ฉันอยากจะบอกว่า แม้เรื่องราวของฉันอาจจะฟังดูง่าย แต่จริงๆ แล้วฉันเองก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนไม่ต่างกับอีกหลายชีวิตที่นี่ เพียงแต่ฉันมีโอกาสได้เจอ "ความบังเอิญ" ดีๆ อยู่หลายครั้ง ที่มีส่วนให้ฉันลุกขึ้นยืนได้เร็ว กว่าอีกหลายคนที่มาเหมือนฉัน
ทุกๆ ครั้งที่ฉันหวนคิดไปยังจุดเริ่มต้น ฉันก็รู้สึกใจหายทุกครั้ง และรู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่ฉันผ่านตรงนั้นมาได้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด
-------------------------------------------------
ก่อนที่ฉันเดินทางมาที่นี่ ฉันก็เหมือนชาวอีสานบ้านนอกทั่วไป ที่ต้องเข้ามาดิ้นรนทำมาหากินในเมืองหลวง ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สิบกว่าปี มีครอบครัวมีลูกชายหนึ่งคน แล้วชีวิตคู่ของฉันก็มีปัญหากัน ฉันจึงขอแยกกันอยู่สักระยะแต่แล้วเราก็ต้องเลิกรากันจริงๆ
ตอนนั้นกระแสการหาสามีฝรั่ง ที่บ้านเกิดของฉันเริ่มมีมาบ้างแล้ว แต่เนื่องจากฉันมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพค่อนข้างนาน ถึงจะได้ยินมาบ้างแต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้
หลังจากที่รู้ว่าฉันแยกทางเดินกับแฟน ป้าติ๋วคนในหมู่บ้านเดียวกับฉัน ซึ่งแกมีญาติเป็นคนหมู่บ้านใกล้เคียงที่ไปแต่งงานมีสามีที่เยอรมัน ได้มาชักชวนตอนที่ฉันกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดในช่วงปีใหม่ ให้ไปหาสามีฝรั่ง โดยมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเงินหนึ่งแสนบาท ป้าติ๋วได้หยิบยกถึงเรื่องความศิวิไลของเมืองเยอรมัน และความร่ำรวยมั่งคั่งของฝรั่งมาเป็นเรื่องจูงใจ แม้ว่าฉันจะไม่ได้สนใจเรื่องที่แกพยายามสาธยาย เพราะฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงอย่างที่แกเล่าหรือเปล่า และตัวฉันเองก็เพิ่งจะผ่านเรื่องนี้มาหมาดๆ ทำให้ฉันเบื่อและอยากอยู่คนเดียวมากกว่า แต่ฉันก็ตัดสินใจสมัครไปกับป้าติ๋ว เพราะป้าติ๋วได้บอกลดค่านายให้ฉันเหลือหกหมื่นบาท และการสมัครก็ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ฉันเลยนึกสนุกสมัครไปอย่างนั้นเอง
แล้วฉันก็เกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย จนเมื่อกลางปีเดียวกันนั้นฉันเกิดมีปัญหาในที่ทำงานว่า เจ้านายที่ฉันสนิทสนมด้วยนั้นต้องการแยกออกไป มีกิจการเป็นของตัวเอง ทำให้ฉันอยากจะชิงลาออกก่อนที่เจ้านายจะแยกออกไป เพราะฉันคิดว่าถ้าฉันลาออกหลังจากนั้นคงเป็นเรื่องยาก และดูน่าเกลียดเพราะฉันจะต้อง เป็นตัวหลักในเรื่องงานทันที
ตอนนั้นฉันรู้สึกสับสน ฉันไม่อยากหางานและไม่อยากเริ่มต้นใหม่ แต่งานที่ทำอยู่ตอนนั้นฉันก็รู้สึกเบื่อที่ทำงานเต็มที และช่วงนั้นเพื่อนของแฟนเก่าของฉัน พยายามส่งข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ ของเขา ให้ฉันได้ฟังอยู่เสมอ เพราะอยากเห็นฉันกลับไปคืนดีกับเขา แต่ฉันอยากให้เรื่องราวระหว่างฉันกับเขาจบลงแค่นั้น
ฉันรู้สึกอยากไปไหนก็ได้ไกลๆ สักแห่ง สักระยะหนึ่ง พอดีปีนั้นกำลังจะมีแข่งขันฟุตบอลโลก ทำให้ฉันนึกถึงเยอรมัน และเรื่องที่ฉันเคยสมัครหาคู่ไว้กับป้าติ๋ว ฉันจึงสอบถามถึงเรื่องของฉันว่าไปถึงไหนแล้ว ป้าติ๋วบอกกับฉันว่าถ้าฉันอยากให้เรื่องมันเร็วขึ้น ด้วยข้ออ้างต่างๆ ที่แกยกขึ้นมาอ้าง ฉันควรจ่ายเต็มหนึ่งแสนบาท ฉันจึงตอบตกลงกับป้าติ๋วไป ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าฉันต้องการไปหาคู่จริงหรือเปล่า
รุ่งขึ้นของอีกวันก็มีคนโทรมาถามถึงความมั่นใจของฉัน ว่าตกลงจ่ายตามนั้นแน่นอนไหมถ้าแน่นอน ก็ให้ฉันมารับเอกสารและเตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอวีซ่าได้เลย ฉันเองแม้จะยังแปลกใจกับความรวดเร็วที่เกิดขึ้น และยังไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องนี้เลย แต่ฉันก็ตกลงตามนั้น
เขาให้ฉันไปรับเอกสารที่พัทยา ซึ่งเป็นการไปพัทยาครั้งแรกในชีวิต ฉันไปหาเขาตามที่อยู่ที่เขาให้ฉันมา ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์สี่ชั้นในเมืองพัทยากลาง และฉันพบว่าที่นี่เรารับจ้างทำโน่นทำนี่สารพัด ฉันได้เข้าพบกับพี่อนันต์ซึ่งเป็นพี่ชายของพี่คำตา ที่แต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่เยอรมัน และเป็นญาติของป้าติ๋ว
พี่อนันต์ได้เตรียมเอกสารต่างๆ ให้ฉันเรียบร้อย และได้เตรียมตอบข้อชักถามต่างๆ ตอนยื่นขอวีซ่า เมื่อรับทราบข้อแนะนำและได้เอกสารแล้วฉันก็ลากลับ ก่อนกลับพี่อนันต์ให้นามบัตรใบหนึ่งกับฉัน แม้ตอนนั้นฉันจะอ่านภาษาเยอรมันไม่ออก แต่ฉันก็พอเดาได้จากสัญลักษณ์บนนั้นว่าเป็นบริษัทจัดหาคู่ เป็นครั้งแรกที่ฉันเพิ่งรู้ตัวจริงๆ ว่า ฉันกำลังใช้บริการหาคู่ผ่านบริษัทจัดหาคู่
ซึ่งเกี่ยวกับบริษัทจัดหาคู่กับฝรั่งนั้น ฉันก็เคยได้ยินผ่านๆ มาบ้าง ตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการหลอกลวง ซึ่งฉันก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เนื่องจากฉันเห็นว่า เป็นเรื่องงี่เง่าที่จะหาสามีด้วยวิธีนี้ แต่ตอนนี้ฉันก็กำลังเป็นหนึ่งในนั้น หลังจากที่ฉันเข้าใจไปเองจากที่ฟังจากป้าติ๋วบอกเล่า คือเป็นลักษณะการแนะนำและทำความรู้จักเรียนรู้กัน ระหว่างหญิงชายโดยมีพี่คำตาเป็นที่ปรึกษา แต่ถึงอย่างไรก็ตามฉันก็พยายามคิด ในแง่ดีว่าคงไม่เลวร้ายเหมือนที่ฉันเคยได้ยินมา เพราะยังไงเสียไม่ว่าจะป้าติ๋วซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน ที่เห็นๆ กันอยู่ หรือไม่ก็พี่คำตาและพี่อนันต์ก็เป็นคนบ้านนอก หมู่บ้านใกล้เรียงเคียงกันคงไม่คิดหลอกกัน
นอกจากนี้ฉันยังคิดว่าฉันขอวีซ่าไปก่อน ยังไงฉันยังมีเวลาตัดสินใจว่าฉันจะไปหรือไม่ไปก็ได้ เพราะยังไม่เสียอะไรนอกจากค่าวีซ่า นอกจากนี้ยังไม่รู้ว่าวีซ่านั้นจะผ่านหรือไม่
รุ่งขึ้นของอีกวันฉันก็เดินทางไปที่สถานฑูตเยอรมัน เพื่อยื่นขอวีซ่าท่องเที่ยว ช่วงที่เจ้าหน้าที่ที่สัมภาษณ์ฉันๆ ก็อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ทำเหมือนไม่ค่อยเต็มใจให้บริการนัก และบางคำตอบของฉันเจ้าหน้าที่ก็ส่ายหน้าเหมือนเบื่อๆ แต่ฉันก็ได้แต่แปลกใจสงสัยอยู่ในใจเท่านั้น ฉันตอบคำถามทุกอย่างด้วยความเชื่อมั่น และตามตรง เจ้าหน้าที่นัดให้ฉันมาฟังผลและรับวีซ่าในอีกสองวัน
ฉันกลับมาทำงานตามปกติและเกริ่นๆ ให้เจ้านายที่สนิทของฉันฟังในเรื่องนี้ แม้เจ้านายจะแสดงความห่วงใยในสิ่งที่ฉันตัดสินใจ แต่ก็พูดทัดทานฉันได้ไม่มาก เนื่องจากความเชื่อมั่นของฉันว่า คนบ้านเดียวกันไม่น่าจะหลอกลวงกัน ช่วงนี้ฉันจึงพยายามเคลียร์งานให้ได้มากที่สุด และอีกสองวันต่อมาฉันก็มี วีซ่าท่องเที่ยวเยอรมันสามเดือนอยู่ในมือ
ฉันกำหนดการเดินทางในอีกหนึ่งอาทิตย์ ช่วงนี้ฉันต้องเคลียร์งานของฉันส่งต่อให้คนใหม่ ซึ่งบังเอิญว่าที่บริษัทก็หาคนมาแทนฉันได้พอดี แม้เจ้านายใหญ่จะรู้สึกว่าโกรธที่ฉันทำอะไรกระชั้นชิด แต่ก็ยังแสดงความห่วงใยให้กับฉันว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นหรือต้องการความเชื่อเหลือใดๆ ให้แจ้งเขาได้ทันที ซึ่งก็ทำให้ฉันอุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างปุบปับรวดเร็ว และฉันก็มัวยุ่งอยู่กับการเคลียร์งาน ฉันจึงไม่มีเวลาคิดถึงว่า อนาคตอันใกล้นี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกับฉันบ้าง
ก่อนการเดินสองวันฉันจึงเดินทางกลับบ้าน เพื่ออยู่กับลูกและจัดการเรื่องเงินที่ตกลงกันไว้ ในระหว่างนี้ฉันก็ยังคงลังเลใจอยู่ แต่เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยซักถามเพื่อนร่วมห้องเรียนเดียวกัน สมัยชั้นประถม ซึ่งเธอก็ใช้บริการจากพี่คำตา และระหว่างนี้เธอกำลังอยู่ในระหว่างยื่นขอวีซ่าแต่งงานอยู่ ซึ่งจากคำบอกเล่าของเธอนั้น เธอได้แฟนเป็นคนดี มีงานทำมั่นคงในบริษัทผลิตรถยนต์ราคาแพง นอกจากนี้สามีเธอ ยังให้เงินเธอติดมือมาด้วยสองแสนบาท และกำลังจะโอนมาให้เธออีกในเร็ววันนี้อีกสองแสนบาท สำหรับฉันแล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า คนรู้จักกันแค่ไม่นานจะกล้าให้กันได้มากขนาดนี้ ทำให้ฉันเชื่อว่าพี่คำตาน่าจะเป็นคนดีและมีน้ำใจจริง และเชื่อว่าป้าติ๋วคงไม่โกหก
นอกจากนี้ฉันยังได้มีโอกาสพูดคุย กับคนในหมู่บ้านเดียวกันอีกคน ที่เคยบินมาท่องเที่ยวเยอรมันหลายครั้ง บอกเล่าถึงความสิวิไลของเยอรมันและโอกาสในการทำงาน รายได้ดีๆ ที่มีอยู่เกลื่อนแค่งานล้างถ้วย ล้างจาน รายได้ก็ตก 6-7 หมื่นบาทต่อเดือน หลังจากที่ฉันได้ฟังคำบอกเล่าจากทั้งสองคน ฉันไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่า หวังว่าทั้งหมดคงไม่หลอกลวงฉัน ส่วนเรื่องร่ำรวยเรื่องเงินเรื่องทองนั้น ฉันไม่ได้คิดเลยจริงๆ เพราะฉันมัวแต่ตื่นเต้นว่าคนสองคน ที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นจะเรียนรู้และรักกันได้อย่างไร และตื่นเต้นที่จะได้มาเยือนประเทศที่มีนักฟุตบอลในดวงใจ
เมื่อฉันจ่ายเงินที่ตกลงกันไว้เสร็จ โดยครึ่งหนึ่งฉันได้มาจากแม่ ก่อนขึ้นเครื่องหนึ่งวันฉันต้องไปนอนค้างที่พัทยา ซึ่งการไปนอนค้างที่นี่ทำให้ฉันได้สัมผัสถึงความสัมพันธ์แปลกๆ ของคนในบ้านนี้ แม้จะบอกไม่ได้ถึงความแปลก แต่ก็พอจะรู้ถึงความไม่จริงใจต่อกันของคนที่นั่น
ในที่สุดการเดินทางมาเยอรมัน แบบไม่คาดฝันและเป็นไปแบบสายฟ้าแลบก็เกิดขึ้น ฉันเดินทางมาถึงเยอรมันในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2002 และที่สนามบินฉันถูก ตม เชิญให้ไปรอในห้องๆ หนึ่ง เนื่องจากชื่อในพาสปอร์ตและใบเชิญไม่ตรงกัน ในห้องนั้นฉันเห็นมีสองสาวผมทอง 2 คนกำลังร้องห่มร้องไห้ เหมือนกำลังกลัวและกังวลอะไรสักอย่าง ฉันก็ได้แต่สงสัยว่าเพราะอะไร แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกกลัวหรือกังวลใดๆ ทั้งสิ้น
ไม่นานก็มีผู้ชายคนหนึ่ง เดินตรงมาหาฉันและยกมือไหว้สวัสดีฉัน ฉันจึงเข้าใจในทันทีว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่เชิญฉันมา และเป็นแฟนของพี่คำตา เมื่อรับกระเป๋าเสร็จแล้วเขาก็พาฉันกึ่งเดิน กึ่งวิ่งไปยังรถที่จอดรออยู่ด้านนอก เมื่อไปถึงรถฉันก็ได้พบกับผู้ชายตัวอ้วนๆ สูงพอประมาณใส่แว่นตาหนาเตอะ ฉันยกมือไหว้เขา แต่เขาแสดงท่าทีเฉยเมยกับการกระทำของฉัน เขายกกระเป๋าฉันขึ้นรถและทำมือเชื้อเชิญให้ฉันขึ้นนั่ง โดยไม่พูดจาหรือแสดงสีหน้าบ่งบอกความเป็นมิตรกับฉันเลย แม้ฉันจะรู้สึกเคืองอยู่นิดๆ แต่คิดไปเองว่า เขาคงไม่เข้าใจที่ฉันไหว้เขา แต่ก็ช่างเขาเถอะ
ระหว่างนั่งมาในรถ ด้วยความเพลียจากการเดินทาง ฉันพยายามข่มตาให้หลับแต่ฉันก็หลับไม่ลง ระหว่างนั้นสองคนที่นั่งอยู่เบาะหน้าคือแฟนพี่คำตา และผู้ชายอ้วนคนนั้นก็กำลังคุยกันถึงเรื่องอะไรไม่รู้ แต่ดูเหมือนกำลังเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะผู้ชายร่างอ้วนคนนั้น ฉันนั่งฟังพวกเขาอยู่สักพักหนึ่ง ความคิดของฉันก็แว๊ปขึ้นมาว่า หวังว่าคงไม่ใช่ผู้ชายคนนี้นะ ให้หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็ไม่เอา และฉันตั้งใจจะอยู่กับพี่คำตาก่อนสักพัก แล้วค่อยคิดเรื่องผู้ชาย
เมื่อฉันมาถึงบ้านพี่คำตา ซึ่งขณะนั้นมีผู้หญิงไทยอยู่ที่นั่นด้วยสองคน คนนึงเป็นคนบ้านเดียวกับฉันแต่ฉันไม่เคยรู้จักกับเธอมาก่อน แม้จะอายุใกล้เคียงกับฉัน ส่วนอีกคนมาจากภาคกลางเป็นผู้หญิงหน้าตาดี รูปร่างอวบอัดด้วยเสื้อคอกว้างและกระโปรงสั้นจู๋ ทั้งสองคนบินเข้ามาและมาอยู่ที่นี่เกือบครึ่งเดือนแล้ว เมื่อทักทายเสร็จพี่คำตาก็ให้ฉันไปอาบน้ำ พอฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ พี่คำตาเดินมาบอกฉันว่าผู้ชายตัวอ้วนคนนั้น จะพาฉันไปด้วย ฉันบอกกับพี่คำตาว่ายังไงฉันก็ไม่ไป พี่คำตาจึงไล่ให้ฉันไปนอนพักก่อน แล้วค่อยว่ากัน
ฉันนอนพักไปได้สักสองชั่วโมง พี่คำตาพร้อมด้วยผู้หญิงไทยอีกสองคนก็เข้ามาปลุกฉัน และบอกกับฉันอีกครั้งว่าผู้ชายคนนั้นจะพาฉันไปด้วย ฉันยังยืนยันตามเดิมว่าฉันไม่ไป พี่คำตาจึงบอกกับฉันว่าเขาขับรถมาตั้ง 600 กม เพื่อมารอรับฉันตั้งแต่เมื่อวานและ บลา บลาๆ พร้อมด้วยเสียงสนับสนุนจากอีกสองสาว พี่คำตาบอกกับฉันว่า ฉันควรไปดูก่อนถ้าเขาไม่ดีหรือว่ารู้สึกจะเข้ากันไม่ได้ ค่อยกลับมา
ฉันเริ่มคิดหนักว่า ฉันใจดำเกินไปหรือเปล่าที่จะไม่ไปกับเขา เขาจะหาว่าฉันรังเกียจเขาที่เขาตัวอ้วนหรือเปล่า ฉันนั่งคิดสักพักฉันก็ตัดสินใจจะไปกับเขา โดยฉันตั้งใจไว้ว่าฉันจะไปอยู่กับเขาแค่ 2-3 วัน เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตัวฉันเองใจร้าย แล้วฉันก็จะกลับมาหาพี่คำตา ดูทุกคนรู้สึกดีใจที่ฉันไป ต่างปลอบใจฉันมากมาย และให้กำลังใจฉันว่าหากเกิดอะไรไม่ดีขึ้นให้โทรเข้ามา
เมื่อฉันตัดสินใจเดินทางไปกับเขา และร่ำลากันเสร็จเขาก็หิ้วกระเป๋าฉันไปที่รถ เขาเปิดประตูรถและเรียกฉันให้เข้าไปนั่ง เมื่อฉันเดินไปจะขึ้นรถฉันก็ตกใจกับสภาพภายในรถสุดขีด เพราะสกปรกรกรุงรังไปด้วยขยะ ฝุ่น ขนสัตว์ และขี้บุหรี่ ขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกดีใจที่ฉันมีข้ออ้าง ที่จะไม่ต้องไปกับเขาแล้วคือ ความสกปรก แต่เมื่อฉันหันมาเพื่อจะบอกกับเขาว่าฉันไม่ไป ฉันก็เห็นเขากำลังยกกระเป๋าฉันขึ้นใส่ท้ายรถ และเมื่อเขาเห็นฉันหันมามองเขา เขาก็ส่งยิ้มใสซื่อให้ฉันเป็นครั้งแรก และเพราะรอยยิ้มเหมือนไม่รู้ไม่ซี้ว่าฉันกำลังรู้สึกยังไงกับเขา ก็เปลี่ยนใจฉันให้ขึ้นไปนั่งบนรถและปลอบใจตัวเองไปว่า เรื่องอย่างนี้มันทำความสะอาดกันได้
ฉันออกเดินทางจากบ้านพี่คำตาตอนบ่ายสองโมง ระหว่างทางฉันพยายามจะชวนเขาคุย แม้ฉันจะพูดอังกฤษได้ไม่ดีนัก แต่ฉันรู้สึกว่าเขาแย่กว่าฉันอีก ฉันเลยเงียบตลอดทาง และระยะทาง 600 กม นั้น ก็ทำให้ฉันรู้ว่ามันไกลแสนไกล ประกอบกับระหว่างเดินทางเจอทั้งรถติด ทั้งฝน เขาจึงพาฉันมาถึงบ้านเขาเอาเกือบห้าทุ่ม บ้านที่เขาอยู่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองเล็กๆ ในเยอรมันตะวันออก เป็นบ้านสองชั้นขนาดกะทัดรัด เขาพาฉันเข้าบ้านโดยเขาอาศัยอยู่ที่ชั้นสอง โดยมีทางเข้าอยู่ที่ด้านข้างค่อนมาด้านหลังที่เมื่อเปิดประตูเข้ามา ก็จะเจอกับบันไดขึ้นบ้านและมีตู้เก็บรองเท้าอยู่สองหลัง
เมื่อขึ้นมาบนบ้าน เปิดประตูเข้ามาก็ไม่ต้องแนะนำอะไรยาก เพราะหัวมุมบ้านด้านขวามือเป็นครัว ผนังด้านขวามือใกล้กับประตูเข้าบ้าน มีตู้เสื้อผ้าตั้งอยู่หนึ่งหลัง ด้านซ้ายมือเป็นเตาผิง ถัดจากเตาผิงเป็นชั้นไม้สำหรับวางของ เล็กๆ น้อยๆ และเป็นที่วางทีวีและที่วางเครื่องเล่น โฮมเธียเตอร์ ที่มีลำโพงตัวใหญ่ตั้งอยู่มุมละตัว ส่วนหน้าทีวีนั้นมีโซฟาสีเขียวเก่าๆ ตั้งหันหน้าเข้าหาทีวีหนึ่งตัว และตั้งติดผนังทำมุมกับอีกตัว ถัดจากโซฟาที่เป็นห้องเดียวในบ้านมุมซ้ายมือคือห้องน้ำ หน้าประตูห้องน้ำที่อยู่หลังโซฟา ด้านขวามือเป็นมุมทำงานของเขาที่มีคอมพิวเตอร์อยู่หนึ่งตัว มีชั้นวางของและตู้เป็นไม้ที่มีเอกสารของเขา วางอยู่ระเกะระกะ ส่วนติดกับมุมทำงานของเขาทางขวามือ เป็นบันไดที่ตั้งอยู่กลางบ้าน ส่วนอีกต้านของบันไดคือ โต๊ะกินข้าวที่อยู่หน้าครัว เหนือบันไดขึ้นไปเป็นชั้นลอยที่ด้านหน้าเปิดโล่ง มีเพียงราวระเบียงสแตนเลสกั้นอยู่ และขนาดของชั้นลอยก็เพียงพอจะวางเตียงขนาดหกฟุตได้เท่านั้น ซึ่งหลังคาบ้านก็อยู่ถัดจากเตียงขึ้นไปแต่นิดเดียว
คืนนั้นเขาให้ฉันขึ้นไปนอนบนเตียงข้างบน ส่วนเขานอนที่โซฟาหน้าทีวี ซึ่งคืนนั้นฉันก็หลับสนิทด้วยความเพลียจากการเดินทาง ฉันตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เนื่องจากฉันนอนอยู่ใต้หลังคา ที่มีหน้าต่างหลังคาอยู่ใกล้ๆ และไม่ได้ปิดม่านบังแดด แดดจึงส่องเข้ามาปลุกฉันตั้งแต่ตีห้า เขาตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ฉันเรียบร้อย หลังจากล้างหน้าแต่งตัวเสร็จ ฉันก็มากินอาหารเช้าร่วมกับเขาในเช้าแรก หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จเขาบอกให้ฉันเอาเสื้อผ้า และของใช้ฉันส่วนตัวฉันเก็บในตู้เสื้อผ้าที่มีอยู่ใบเดียว แต่ฉันไม่ทำเพราะฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่อยู่หลายวัน
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เขาได้พาฉันไปแนะนำกับตายายคู่หนึ่ง จึงทำให้ฉันรู้ว่าบ้านเขาอยู่ติดกับบ้านพ่อแม่ของเขาเอง เมื่อฉันเจอกับพ่อแม่เขาครั้งแรก ฉันก็ยกมือไหว้ทั้งสองคนเหมือน ที่ฉันเคยทำกับคนไทยทั่วไป ทั้งสองคนพูดทักทายฉันด้วยภาษาเยอรมันที่ฉันไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่ฉันสัมผัสได้ด้วยสายตา และความรู้สึกคือทั้งสองคนเป็นคนใจดี และน่ารัก ฉันรู้สึกประทับใจกับพ่อแม่เขาอย่างแปลกประหลาด
วันแรกวันนั้น เวลาผ่านไปด้วยการทำความสะอาดบ้านให้เขา ส่วนในหัวฉันตอนนั้นคือคิดหาวิธีที่จะปฎิเสธ เพื่อที่จะไม่ต้องอยู่ที่นี่ต่อและวิธีที่จะกลับไปหาพี่คำตา ส่วนคืนนั้นฉันขอนอนที่โซฟาแทน ให้เขาขึ้นไปนอนข้างบน
วันที่สอง หลังจากกินอาหารเช้าวันนั้นเขาก็เอาแล๊ปทอปขึ้นมา และเปิดโปรแกรมที่สอนภาษาไทยและภาษาเยอรมันให้ฉันดู เราสองคนเริ่มต้นสื่อการกันโดยใช้แล๊ปทอปเป็นตัวกลาง แม้การแปลประโยคของโปรแกรมจะไม่ถูกต้องนัก แต่ก็พอจะทำให้เราจับใจความได้บ้าง ซึ่งช่วยในการสื่อสารได้เยอะ และฉันก็เริ่มเรียนภาษาเยอรมัน โดยมีโปรแกรมนี้ช่วยบนโต๊ะอาหาร ส่วนเขาก็นั่งทำงานอยู่อีกมุมบนโต๊ะทำงานของเขา
งานที่เขาทำคืออินเตอร์เน็ตเวปมาสเตอร์ และที่ทำให้ฉันรู้สึกหวาดระแวงเขา และพยายามจะหยิบยกมาเป็นข้ออ้าง เพื่อขอกลับไปหาพี่คำตา คือเขาทำเวปอีโรติกคอนแทค นอกจากเวปที่บ้านเขายังมี หนังสือลามกและวีดีโอโป๊มากมาย แต่ฉันก็ยังไม่สามารถพูดได้ในทันที เนื่องจากเขายังคงสุภาพกับฉันอยู่ และยังไม่เคยล่วงเกินใดๆ ฉันเลย เขาเองก็คงพอดูออกถึงเรื่องนี้ เขาจึงพยามเลี่ยงไม่ให้ฉันเห็น ส่วนหนังสือเขาก็เก็บทิ้ง และวีดีโอนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาแนะนำว่าเป็นแฟนเก่า มาขนไป
จนฉันไปเจอดิวโด้อันหนึ่งในถุงพลาสติก ตอนนั้นชั้นทั้งตกใจและดีใจว่าฉันเจอหลักฐานแล้ว ฉันตัดสินใจหยิบถุงนั้นเดินไปหาเขา และยกถุงนั้นให้เขาดู ด้วยสีหน้าของฉันบ่งบอกว่ากำลังจะร้องไห้ เขาเลยมองหน้าฉันอย่างตกใจ ฉันบอกกับเขาสั้นๆ ว่าฉันจะไปจากที่นี่ เขาเปลี่ยนจากตกใจเป็นหัวเราะ แล้วเขาก็หยิบถุงนั้นไปทิ้งถังขยะ และพยายามจะบอกฉันว่าเป็นของแฟนเก่าเขา เขาลงไปพาพ่อแม่ของเขาขึ้นมาเพื่อ ยืนยันว่าเป็นของแฟนเก่าเขา เรื่องฉันกับดิวโด้จึงเป็นที่ตลกขบขันของทุกคนที่รู้เรื่อง
วันที่สามเขาได้หยิบแฟ้มใหญ่ใบหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะอาหาร พร้อมกับจัดการพ่วงแล๊ปทอป เขาบอกฉันว่าอยากให้ฉันพิมพ์รายละเอียดในแฟ้มนี้ ให้หน่อย เขาคิดว่าฉันคงพิมพ์ได้เร็วกว่า (ฉันจบ ม.2 แต่ฉันเรียนคอมพ์ตั้งแต่รุ่นดิสก์ 5" จอนูนๆ ขาวดำ และทำงานเสมียนบัญชีมาสิบกว่าปี เลยทำให้ฉันพอใช้คอมพ์ได้บ้าง) ฉันเปิดแฟ้มนั้นดูก็ต้องตกใจและรู้สึกหน้าชา ในแฟ้มเป็นรูปผู้หญิงไทยมากหน้าหลายตา พร้อมด้วยรายละเอียดส่วนตัวของแต่ละบุคคล ฉันจึงเพิ่งรู้ว่าเขารับทำเวปไซด์จัดหาคู่นี้ ให้กับแฟนพี่คำตา และเขาก็กำลังจะทำงานร่วมกัน คือเป็นสายให้แฟนพี่คำตา คือหาผู้ชายที่ต้องการแต่งงานกับผู้หญิงไทย เหมือนป้าติ๋วที่เป็นสายให้พี่อนันต์หา ผู้หญิงไทยที่ต้องการแต่งงานกับฝรั่ง ฉันจึงเป็นหนึ่งในผู้หญิงจากแคตตาล๊อก
ช่วงว่างเขาพาฉันเที่ยวชมเมืองที่เขาอยู่ แนะนำสถานที่ตรงนั้นตรงนี้บ้าง หรือถ้าเขาไม่ว่างฉันก็ไปเรียนหนังสือกับแม่เขา ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกประทับใจและรู้สึกดีกับครอบครัวนี้ และกับเขาฉันก็เริ่มประทับใจเขาขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และไม่เคยล่วงเกินใดๆ ฉันเลย ซึ่งบางครั้งฉันก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า เขาทำงานกับภาพลามกอนาจารทั้งวัน แต่ถึงเวลาเข้านอนก็ต่างคนต่างนอน เขาเคยเปิดบัญชีให้ฉันดูเงินในบัญชีที่มีอยู่ 200 ยูโร และบอกกับฉันว่า เขาไม่มีเงินนะ ฉันรู้สึกขำกับการกระทำของเขา แต่ก็บอกกับเขาว่าไม่เป็นไร
วันหนึ่งเขาพาฉันไปพบผู้ชายคนหนึ่งที่เมืองเบอร์ลิน เป็นผู้ชายวัยน่าจะ 50 ปีได้ เขามีแค๊ตตาล๊อกผู้หญิงไทยไปด้วย ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาสนทนากันว่าอย่างไรบ้าง แต่พอจะจับใจความได้ว่าผู้ชายคนนั้นคงจะเป็นลูกค้า และดูเหมือนว่าผู้ชายคนนั้นกำลังสนใจฉันอยู่ เขาจึงแอบถามฉันว่าตกลงจะเป็นภรรยาของมั้ย ฉันอ้ำอึ้งอยู่สักพักขณะที่สายตาผู้ชายคนนั้น ก็กำลังมองฉันแปลกๆ ฉันจึงตอบเขาไปว่า ฉันตกลง เป็นครั้งแรกที่เขาจับมือฉันขึ้นไปจับกุม ฉันเห็นผู้ชายคนนั้นทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย และหลังจากวันนั้นเขาก็แสดงความรู้สึกดีๆ กับฉันเสมอ แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกินเลย จึงยิ่งทำให้ฉันรู้สึกชอบเขามากขึ้น จนครบสามอาทิตย์ที่เราอยู่ด้วยกัน เราจึงมีอะไรกันเป็นครั้งแรก และเขาก็กลายเป็นตาอ้วนของฉัน
หลังจากอยู่ที่นี่ได้หนึ่งเดือน ฉันก็มีโอกาสได้ไปเจอพี่คำตาที่บ้านอีกครั้ง ครั้งนี้ฉันพบผู้หญิงอีกคนที่เพิ่งกลับมาหาพี่คำตา หลังจากที่ไปอยู่กับผู้ชายคนนึงได้หนึ่งเดือน ส่วนผู้หญิงคนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกับฉันนั้นยังอยู่ ส่วนผู้หญิงอวบอึ๋มคนนั้นเพิ่งมีคนมารับไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับคนทั้งสองบ้าง แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากจะคุยอะไรกับฉันมาก ฉันได้รับเพียงคำเตือนว่าถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ อย่ากลับมาที่นี่ และอย่าให้ผู้ชายรู้เรื่องเงินที่จ่ายมาที่นี่ ทำให้ฉันเริ่มสนใจมากขึ้นว่าเพราะอะไร ส่วนพี่คำตานั้นก็เปรยกับฉันว่า "ผัวสมัยนี้หายาก แค่กาแฟถ้วยเดียวเขาก็เอากัน แล้วก็หาย เ งี่ ย น แล้ว" ฉันรู้อึ้งกับคำพูดของพี่คำตา และเริ่มมีความรู้สึกขัดแย้งในความคิดกับพี่คำตา
หลังกลับจากบ้านพี่คำตาได้ไม่นาน ตาอ้วนได้ถามฉันว่าฉันเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่มาที่นี่ ฉันตกใจและลังเลไม่แน่ใจว่าตัวเองจะตอบอย่างไรดี ฉันจึงตอบไปว่า ฉันเสียแค่ค่าเครื่องมาประมาณห้าหมื่นบาท เขาโวยวายทันทีและโทรไปถามแฟนพี่คำตาถึงเรื่องเงิน ฉันจึงได้รู้ว่าเขาก็จ่ายให้แฟนพี่คำตาไป 1500 ยูโร ที่เขาอ้างว่าเป็นค่าเดินเอกสาร และค่าเครื่องของฉัน ซึ่งตอนแรกทางโน้นตอบปฎิเสธ ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องเงินที่ฉันจ่ายไป ตาอ้วนจึงมาถามฉันอีกครั้งว่าฉันจ่ายให้ใคร และมีเอกสารการโอนมั้ย
ฉันบอกว่าฉันจ่ายเป็นเงินสดให้กับพี่อนันต์ ซึ่งต่อมาตาอ้วนได้รับคำอธิบาย จากทางโน้นว่าเพราะฉันหน้าตาขี้เหล่ และอยากเดินทางมาเร็ว จึงตกลงใจจ่ายให้พี่อนันต์ไปเอง ส่วนพี่คำตานั้นไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ฉันจึงรู้ว่าฉันเองก็จ่ายเงินด้วยข้ออ้างเรื่องเอกสาร การเดินเอกสารและค่าเครื่องบิน เป็นเงิน 1 แสนบาท ส่วนตาอ้วนก็เสียเงินด้วยข้ออ้างเดียวกันอีก 1500 ยูโร ซึ่งรวมแล้วเป็นเงิน 1.6 แสนบาท (ตามค่าเงินขณะนั้น) ขณะที่ค่าอะไรต่อมิอะไรที่เขากล่าวอ้าง รวมค่าเครื่องบิน เต็มที่ไม่ถึง 5 ห้าหมื่นบาทด้วยซ้ำ
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นไม่นาน ฉันก็มีเหตุให้ต้องเข้าโรงพยาบาลหนึ่งอาทิตย์ และหลังจากออกจากโรงพยาบาลฉัน ได้มีโอกาสไปหาพี่คำตาที่บ้านอีกครั้ง ซึ่งพี่คำตาเมื่อเห็นหน้าฉันก็ตกใจ เลยพูดใส่หน้าฉันทันทีว่า "ก็เธออยากมาหาผัว ฉันก็หาผัวให้เธอแล้วไง ฉันทำงานฉันก็ต้องการเงิน ไม่มีอะไรที่ไม่ใช้เงิน ส่วนเธอถ้าอยากได้เงินเธอก็ต้องหาเอง" ฉันจึงรู้ว่าต่อไปนี้ฉันโดดเดี่ยวแล้ว และฉันจะทำอะไรผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะเขาพร้อมที่จะทำให้เสียได้ตลอดเวลา
ในเมื่อไหนๆ เขาก็รู้แล้ว และฉันก็รู้แล้วว่าฉันถูกลอยแพ แน่ ฉันจึงตัดสินใจเล่ารายละเอียดของฉันทั้งหมดให้ตาอ้วนฟังเมื่อเขาถาม ว่าจริงๆ แล้วฉันต้องจ่ายเงินไปถึงหนึ่งแสนบาท เพื่อมาเยอรมันเพื่อเป็นค่าอะไรต่อมิอะไร ตามที่เขากล่าวอ้าง และตาอ้วนได้นำเรื่องนี้ไปพูดคุยกับแฟนพี่คำตาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมรับ แต่กลับหาว่าฉันกุเรื่อง เพราะต้องการและอยากได้เงินจากตาอ้วน
หลังจากที่อยู่ที่นี่ครบสามเดือน ฉันก็เดินทางกลับเมืองไทยโดยมีตาอ้วนกลับไปด้วย ตั้งใจไว้ว่าจะไปจดทะเบียนสมรสที่เมืองไทย แต่ไม่สามารถจดได้เนื่องจาก เราเตรียมเอกสารไปไม่ครบ และช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำท่วมครั้งใหญ่ของเยอรมัน ทำให้ไม่สามารถติดต่อขอเอกสารได้ ฉันจึงต้องยื่นขอวีซ่าแต่งงานแทน ตาอ้วนไปอยู่เมืองไทยได้สองอาทิตย์ก็บินกลับมา
ระหว่างนั้นฉันยังต้องตามเคลมประกัน เรื่องค่ารักษาตอนที่ฉันเข้าโรงพยาบาล เป็นเงินราว 4500 ยูโรที่ตาอ้วนสำรองจ่ายให้ก่อน หลังจากตาอ้วนกลับมาได้ไม่นาน ก็บินตามฉันไปที่เมืองไทยอีกครั้ง โดยหวังว่าเราอาจจะได้บินกลับเยอรมันพร้อมกัน แต่เรื่องฉันก็ไม่เสร็จตาอ้วนจึงต้องบินกลับคนเดียว ฉันใช้เวลาประมาณสองเดือน จึงได้วีซ่าและบินเข้ามาเยอรมันอีกครั้ง ในปลายปีนั่นเอง
ฉันกลับมาคราวนี้เป็นหน้าหนาว และตาอ้วนก็ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน บางวันก็ออกบ่าย ฉันจึงต้องอยู่บ้านคนเดียว อากาศที่หนาวเหน็บ ความเหงา ความเงียบ บรรยากาศขาวๆ เทาๆ บวกกับที่ฉันต้องอยู่คนเดียว ทำให้ฉันเหงาและคิดถึงบ้านเหลือเกิน ฉันเริ่มเครียดเรื่องเงิน เพราะจากที่ฉันเคยทำงานตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ฉันเคยมีรายได้เอง และฉันมีภาระต้องส่งเสียลูกและค่าเลี้ยงลูก แต่นับตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่เคยได้ส่งเงินเลย ซึ่งเรื่องนี้ฉันยอมรับว่าฉันมองข้ามมาโดยตลอด และช่วงที่อยู่เมืองไทยตาอ้วนก็ให้ฉันใช้แค่เล็กๆ น้อยๆ แม้จะนึกน้อยใจบ้าง แต่ฉันก็พยายามคิดในแง่ดีว่า เขาคงมีไม่เยอะ และเขาคงยังไม่ไว้ใจเราดี ฉันยังต้องพิสูจน์ให้เขารู้ว่าฉัน จริงใจกับเขาแค่ไหน
ตาอ้วนเป็นคนฉลาดพอตัว และการที่เขาหันมาทำงานจัดหาคู่ เขาจึงได้รู้เรื่องแย่ๆ มากมาย เขาจึงระมัดระวังมากเรื่องเงินๆ ทองๆ แม้ฉันจะเข้าใจ แต่ฉันก็อดน้อยใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้
เราเริ่มมีปากเสียงกันบ่อย และถึงขั้นรุนแรงในคืนก่อนวันแต่งงานแค่สามวัน เป็นครั้งแรกที่ฉันเอ่ยปากขอเงินกับเขา เพื่อส่งไปให้ลูกที่เมืองไทย เขาปฎิเสธว่าเขาไม่มีเงินให้ ฉันจึงบอกเขาไปว่าฉันจะกลับเมืองไทย เขาเองก็รู้สึกเครียดแต่เขาก็บอกว่าตามใจฉัน ตอนนั้นฉันไม่รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้แต่งงานหรอก ฉันคิดว่าถ้าจะรักฉันก็ต้องรักลูกฉันด้วย แต่ฉันรู้สึกเสียความรู้สึกกับเขามาก แต่สักพักเขาก็เดินมาบอกว่าเขาไม่ให้กลับ ส่วนฉันยังขอคิดดูก่อน
เย็นวันนั้นแม่ของเขา ชวนฉันออกไปเดินเล่น แม่เขาคงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงบอกกับฉันว่า "ลูกชายฉันเป็นคนดี ฉันเลี้ยงของฉันมาฉันรู้ เชื่อฉันสิ" เมื่อแม่พูดจบน้ำตาฉันก็ไหลออกมาทันที เมื่อเห็นฉันร้องไห้แม่ก็เข้ามากอดฉัน และกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูว่า "เธอยังจะทิ้งเขา และพวกเราลงเหรอ" ฉันร้องไห้ออกมาดังๆ อย่างไม่อายใคร ทั้งๆ ที่กำลังอยู่กลางถนน
ฉันกลับมาบ้านฉันก็ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ แต่อีกใจนึงฉันก็ยังรู้สึกเสียใจกับเขาอยู่ไม่น้อย แล้วความคิดฉันก็แว๊ปเรื่องเงินประกันที่กำลังเดินเรื่องขอคืนอยู่ ฉันไม่แน่ใจว่า ที่เขาอยู่ๆ ตัดสินใจว่าไม่ให้ฉันกลับนั้น จะเพราะยังไม่ได้เงินคืนหรือเปล่า เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ฉันก็นึกเกลียดเขาขึ้นมาทันที ฉันรู้ว่าคอมพิวเตอร์เครื่องนี้เป็นเหมือน อะไรทุกอย่างของเขา ถ้าคอมพ์ถูกทำลายก็เหมือนบริษัทที่ถูกไฟไหม้ ฉันคิดอยากจะทำอย่างนั้นแล้วก็หนีไป และอย่างน้อยๆ ฉันก็มีเงินจากประกันที่ต้องเข้าบัญชีฉัน
แต่อีกมุมหนึ่ง ฉันก็บอกกับตัวเองว่ามันเป็นเงินของเขา เป็นน้ำพักน้ำแรงที่เขาหามา และถ้าฉันทำลายคอมพ์เครื่องนั้น ทำลายข้อมูลของเขาทั้งหมด ที่เป็นแหล่งทำมาหากินเลี้ยงชีพของเขา แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไป? แล้วเขาจะเกลียดฉันมากไหม? แล้วพ่อกับแม่ล่ะ จะเกลียดฉันไหม? แล้วเขาจะเกลียดคนไทยมากไหม? แล้วถ้าเขาจริงใจกับฉันล่ะ ก็เท่ากับฉันทำร้ายคนดีๆ ทำลายชื่อเสียงคนไทย
ฉันจึงตัดสินใจแต่งงานกับเขา เพื่อดูและพิสูจน์ใจของกันอีกครั้ง หลังจากแต่งงานเขาก็ส่งเงินไปให้ที่เมืองไทย โดยที่ฉันไม่เคยพูดกับเขาอีกเลยหลังจากวันนั้น และฉันคิดว่าฉันไม่สามารถนั่งขอเงินจากใครได้อีก หลังแต่งงานฉันจึงพยายามเร่งให้เขาหางานให้
ระหว่างนี้ฉันได้ติดต่อกับผู้หญิงไทยคนหนึ่ง ชื่อจินเป็นคนจังหวัดเดียวกับฉัน จินเป็นรุ่นน้องและบินมาก่อนหน้าฉันไม่กี่เดือน จินเป็นญาติห่างๆของพี่คำตา แต่จินต้องจ่ายเงินเป็นแสนเหมือนฉัน ส่วนแฟนของจินจ่ายไป 2000 ยูโร และหลังจากได้พูดคุยกับจิน ฉันจึงรู้ว่าจินกับนกยังติดต่อกันอยู่ ซึ่งจินกับนกรู้จักกันช่วงอยู่บ้านพี่คำตา นกอยู่จังหวัดเดียวกับฉัน เรารู้จักกันตอนที่เราไปถ่ายรูปด้วยกัน เมื่อฉันได้พูดคุยกับนกจึงรู้ว่านกหนักสุด เพราะนกยืมเงินมาจากนายทุนที่ดอกเบี้ยแพงแสนแพง และยืมเขามาทุกบาททุกสตางค์ ส่วนแฟนของนกก็จ่ายไปถึง 4500 พันยูโร และตอนนั้นแฟนนกตกงาน และรับเงินสงเคราะห์จากรัฐบาล
อ่านต่อที่ลิ้งค์ เจ้าของเรื่องค่ะ...
ขอบคุณเจ้าของเรื่องนี้... ฉันอยากบอกว่า ขอบคุณค่ะ แทนทุกคนที่มาอ่านค่ะ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=deo&date=19-02-2007&group=10&gblog=1
ขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้
ลีเจย์
.........................................................................................
เรื่องจริงสอนใจหญิง (แนวอีโรติก) ความรักทำให้คนตาบอด เซ็กส์ทำให้คนตาบอดพร้อมทั้งหูหนวก ตามลิ้งค์ค้า
http://wwwlifeinfrance.blogspot.com/2010/12/blog-post_10.html