ฉันตกใจมาก... ฉันบอกพี่นัต และแน่นอนพี่นัตดีใจมาก นั่นทำให้ฉันสบายใจระดับหนึ่ง แม้จะกังวลเรื่องท้องที่จะโตขึ้นมาอวดชาวบ้านก็เถอะ
พี่นัตบอกว่าให้ไปอยู่กับพี่นัตที่บ้านพักจนกว่าจะคลอด ซึ่งฉันก็เชื่อพี่นัต
ตอนนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรเลย จริงๆนะ ความเขลา ความโง่ ความมองโลกเพียงหัวแม่เท้า ความที่อยู่แต่ในกะลา ทำให้ฉันไม่รู้อะไรเลย
พี่นัตเองไม่เคยส่งเสียฉัน ไม่เคยให้เงิน นอกจากฉันจะเดือดร้อนจริงๆ พี่นัตถึงจะให้ฉันมา พันเดียว หรือ เจ็ดแปดร้อย
ใจฉันคิดแต่เพียงว่า ฉันมีความรัก ฉันดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นภาระแก่คนที่ฉันรัก เพราะพี่นัตเองก็ต้องกินต้องใช้
คือตอนนั้น ใจฉันคิดแต่เรื่องดีๆ อยากเสียสละ กับคนที่ฉันรัก อยากให้เค้ารู้ว่า ฉันรักเขาแค่ใหน และฉันก็อยากแสดงออกว่า ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่พี่นัตนอนด้วยแล้วจะต้องจ่ายเงิน เพราะฉันไม่ใช่อีตัว ...
วันนั้น...โทรศัพท์ดังนั้น... ฉันเอื้อมมือไปรับ... เป็นพี่สาวของพี่นัตเช่นเคย ที่โทรมาหาฉัน ถามสารทุกข์สุขดิบ ถามถึงหลาน
ฉันดีใจมากที่พี่สาวของพี่นัตใส่ใจฉัน แม้ว่า พ่อแม่ของเค้าจะยังไม่รับรู้ก็ตาม แค่นั้นฉันก็มีความสุขแล้วที่พี่สาวของพี่นัตถามถึง
พี่สาวบอกว่า ถ้าพี่นัตกลับมา ต้องโทรหาเค้าด้วย...ฉันก็รับคำ
เพราะพี่นัตนั้น จะต้องกลับบ้านทุกเสาร์อาทิตย์ แม้ฉันจะเหงาแค่ใหนก็ตาม ฉันก็ต้องเข้มแข็งเพราะอยากให้พี่นัตสบายใจ
ฉันต้องนอนคนเดียวตั้งแต่ คืนวัน ศุภร์ วันเสาร์ และ วันอาทิตย์ กว่าจะเจอพี่นัตอีกทีก็ หลังเลิกงานวันจันทร์โน่นแหละ
ฉันทนได้..เพราะครอบครัวพี่นัตก็สำคัญ และฉันก็เข้าใจดี ซึ่งตอนนั้นฉันได้แต่เอามือลูบท้องนูนๆ นั่น และคุยกับลูกในท้องว่า แม่เหงาแค่ใหน..
และวันนั้นเป็นวันอาทิตย์
พี่นัตกลับมา ฉันทำอาหารอยู่หลังบ้านแต่ได้ยินเสียงรถพี่นัตกลับมาฉันดีใจมาก... รีบเดินอุ้ยอ้ายออกไปหน้าบ้านทันที
พี่นัตมากับผู้หญิงคนหนึ่ง สูงประมาณ 155 ผมยาว ดูท่าทางจะแก่กว่าพี่นัต และจูงมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาด้วย
หน้าตาเค้าก็สวยดี ไม่ขี้เหร่หรอก สงสัยจะเป็นพี่สาวพี่นัต...แต่
“ปาป๊า ปาป๊า” เด็กคนนั้นเรียกพี่นัตแบบนั้น ฉันตกตะลึง ใจหายแว๊บ หวิวไปจนถึงท้องน้อย และลูกในทอ้งก็ดิ้น ขลุกคลัก
พี่นัตเดินมา บอกว่า นี่เป็นลูก และเมียพี่นัตนะ
ฉันถึงกับเข่าอ่อน จนต้องนั่งลง พี่นัตประคองฉันนั่ง หัวใจฉันแตกสลาย น้ำตาร่วงพรู เมียของพี่นัตไม่พูดอะไรสักคำ ได้แต่ยืนมอง เด็กน้อยที่มาด้วย ก็นิ่งตกใจเมื่อเห็นฉันจะล้มทั้งยืน
ฉันพูดอะไรไม่ออก... รู้แต่เพียงว่า หัวใจฉันหยุดเต้นไปแล้ว
พี่นัตขอโทษนะ ที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ พี่นัตผิดเอง ฉันได้ยินเสียงพี่นัตพูดแว่วๆ ที่ข้างหู และจากนั้นก็ฟังอะไรไม่ได้ศัพท์
ฉันเอาแต่ร้องไห้ ดั่งจะขาดใจ โศกเศร้ายิ่งกว่าการสูญใดๆ ในชีวิตที่เคยผ่านมา
ลูกในท้องตอนนั้นก็แปดเดือนแล้ว
ฉันต้องรอจนคลอด...
วันนั้น อากาศร้อน.... และน้ำเดิน ฉันรอพี่นัตอยู่จนถึงเวลาเลิกงาน.. และบอกพี่นัตว่า ฉันน้ำเดินแล้ว
และฉันก็คลอด โดยที่ไม่เจ็บปวดมากนัก แต่อาการของคนเจ็บท้องคลอดนั้น มันจะเจ็บน่วงๆ และมีอาการเหมือนปวดอุจาระ ที่อยากจะเบ่งออก
ฉันนอนรอในห้องคลอด ที่มีคนนอนรอแบบเดียวกันกับฉันอีก สิบกว่าราย
และมีรายหนึ่งที่นอนเจ็บปวด ร้องครวญครางจะเป็นจะตาย จนพยาบาลประจำห้องคลอดต้องมาดุเป็นระยะ เพราะปากมดลูกเธอไม่เปิด
เธอร้องครวญครางมากๆ เห็นเธอแล้วก็สงสารจับใจ เพราะฉันเองไม่ได้ เจ็บแบบนั้น
ในนาทีที่ลูกจะมานั้น ฉันเรียกพยาบาล ซึ่งเค้าก็วิ่งมาตรวจปากมดลูกทันที และเคลื่อนย้ายฉันไปห้องคลอด
ลูกชายของฉันกำลังจะออกแล้ว และพยาบาลก็บอกว่า อย่าพึ่งเบ่งนะ ให้รอหมอก่อน เพราะฉันฝากพิเศษ เรื่องการเย็บแผล
เมือ่ไปถึงห้องคลอด ฉันก็มองเห็นผู้หญิงคนอื่นๆ อีก สองราย ที่นอนเตียงพาดขาหยั่ง ในท่าเบ่ง และมีรายหนึ่งที่คุณหมอ นั่งเย็บแผล มันเป็นภาพที่น่ากลัวมาก แม้ฉันจะเห็นแต่เพียงด้านหลังก็เถอะ
และเสียงเด็กแรกเกิดร้อง อุแว๊ ๆ นั่น สะกดความกลัวในนาทีแบบนั้นได้อยู่หมัด เพราะ เสียงอุแว๊นั่น ดุจดั่งเสียงสวรรค์ในนาทีแบบนี้
.....................................................................................................................................
ตอนสามอยู่นี่นะจ๊ะ
http://wwwlifeinfrance.blogspot.com/2011/01/3.html#more
.....................................................................................................................................
ตอนสามอยู่นี่นะจ๊ะ
http://wwwlifeinfrance.blogspot.com/2011/01/3.html#more