1/22/2011

เมื่อลูกของฉัน...ไม่มีพ่อ ตอน 6 (อุบัติเหตุรัก)

เค้าพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ
เพราะเค้าเป็นต่างชาติ  เอาล่ะสิ
เขาสวมหมวก ตัวสูงกว่าฉันเยอะ กางเกงขาสั้นรับรองพร้อมรองเท้าเดินป่า นั้น ทำให้เห็นเล็บท้าวของเค้าที่สะอาด
ฉันเงียบ... เมื่อ รปภ.เดินเข้ามา เงียบเพราะรู้สึกเคลียด เนื่องจากรถฉันไม่มีประกันนั่นเอง
และใครอีกหลายคนเดินเข้ามา เนื่องจากมันเป็นประตูทางออก เมื่อเกิดเหตุ รปภ.จะต้องย้ายทางออกไปอีกทางอย่างฉุกเฉิน เพราะรถเริ่มติด
ผู้ชายคนนั้นขอโทษฉันอยู่นับล้านครั้ง.... และพลเมืองดี ได้มาช่วยแปลให้  
ว่าเขายินดีรับผิดชอบ
ถามว่ารถมีประกันหรือไม่... ฉันบอกไม่มี ซ่อมเองไม่ได้ ฉันตอบพร้อมทั้งอยากจะร้องไห้
เพราะฉันคงไม่มีเงินแน่ๆ....
แล้วเค้าก็ยินดีที่จะจ่ายเงินให้ในการซ่อมรถ... โดยที่เค้า ได้วางเงิน จำนวนสองหมื่น ไว้ตรงท้ายรถ...และให้นามบัตรเอาไว้ว่า ถ้าไม่พอให้ร้านติดต่อเค้าได้เลย
รถของเค้าไม่เป็นอะไรเลย..บุบแค่นิดเดียวแต่ไม่ถลอก แต่ตูดรถชั้นสิ ดูไม่จืด..ฝากระโปรงท้ายก็เปิดออกและปิดไม่ได้ด้วย
พลเมืองดีบอกว่า ให้เงินเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นกันไว้ก่อน... แล้วค่อยเอารถไปซ่อม เพราะดูอาการแล้ว น่าจะไม่ถึงสองหมื่นหรอก...
ฉันก็เชื่อค่ะ (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำใมถึงเชื่อ)  และฉันก็โอเค .... พร้อมเก็บนามบัตรเค้าเอาไว้ด้วย
และเขาก็ขอนามบัตรฉันไปเช่นกัน ...  เรื่องในวันนั้นเลยจบลงแบบนั้น..
..................................................................................................
โทรศัพท์มือถือดังขึ้น... (เป็นรุ่นที่ต้องแบกค่ะ อันใหญ่มาก)
ฉันก็รับ... กำลังปวดหัวเรื่องเงินไม่พอผ่อนรถ เนื่องจากเป็นหน้าฝน ทำให้ฉันขายของเปิดท้ายไม่ค่อยดีนัก
ฝรั่งคนนั้นนั่นเอง เขาคุยอะไรมาก็ไม่รู้ ฉันไม่เข้าใจอะไรเลย...
จนมีเสียงผู้หญิงบอกว่า...
“พี่คะ หนูเป็นเลขาฯ ของนายนะคะ.. นายให้ถามว่า พี่ซ่อมรถไปแล้วหรือยัง”
ฉันก็ตอบไปว่า ยังไม่ได้ซ่อม ก็ใช้แบบนั้นแหละ เนื่องจากไม่มีรถใช้ระหว่างซ่อม
เธอก็ไปแปล...กับนายเธอ
“พี่คะ...สะดวกที่จะออกมาพบนายของหนูมั๊ยคะ... ไปทานข้าวที่ร้าน.... ในเมืองค่ะพี่”
เค้าจะเอารถพี่ไปซ่อม และจะให้รถบริษัทไปใช้ก่อน...
ฉันรู้สึกว่า คำนั้นเป็นประกาศสวรรค์.... ฉันรีบตอบรับทันที...
ฉันซื่อนะ...ต้องออกตัวก่อนแบบนั้น... ฉันเชื่อคนง่ายๆ ไม่ว่าใคร ถ้าฉันเห็นว่าคุณยิ้มๆ กับฉันแล้ว ฉันก็จะคิดว่าคุณเป็นคนดีเสมอ... เพราะหน้าตาคุณยิ้ม... นี่แหละค่ะ หลายคนถึงรักฉัน
และอีกหลายคนก็ว่าโง่... แต่ฉันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
......................................................................
ฉันไปถึงที่ร้าน ยืนเด๋อๆ อยู่ เพราะร้านนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มีโอกาสมานั่ง เคยแต่ขับรถผ่าน
เห็นไฟ สว่าง สวยงาม และได้แต่มอง เพราะคงไม่มีวาสนาจะได้มานั่งกินข้าวในบรรยากาศแบบนี้อย่างแน่นอน เพราะฉันคงไม่เงินที่จะมาทำแบบนั้น
ฝรั่งคนนั้น เดินมาหาฉัน... ร้องเท้าเงาวับ.. กางเกงสีดำ พร้อมซื้อเสื้อสีขาว ที่พับแขน ปลดกระดุม นั่น ทำให้เห็นว่า เค้าต่างจากวันที่ขับรถชนฉันมากมาย วันนี้เขาไม่ใส่แว่นสายตา
เขาดูเรียบร้อยมาก...ฉันยกมือไหว้เขา... และเขาก็ไหว้ตอบ..
ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เนื่องจากฉัน รู้สึกว่า ตัวเอง ซอมอ ไม่เหมาะที่จะมานั่งร้านแบบนี้เลย
แต่คนข้างๆ กลับไม่ได้รังเกียจฉันแต่อย่างใด...
เลขาฯ ของเขาได้ยืนขึ้นและ ยกมือไหว้ฉัน..ก่อน แต่ดูแล้ว เธออายุ มากกว่าฉันอย่างแน่นอน..
น่าจะสามสิบขึ้น..แต่เธอสวยมาก เสื้อสูทของเธอและกระโปรง พร้อมรองเท้าส้นสูงนั่น ทำให้ฉันอายที่จะนั่งร่วมวงเป็นอย่างมาก เพราะฉันใส่รองเท้าแตะ และกางเกงยีนส์ ที่เป็นยี่ห้อตลาดนัด
เสื้อยืดธรรมดามาก
เมื่อต้องนั่ง เก้าอี้... ฉันบอกตรงๆ ว่าฉันทำตัวไม่ถูก แม้ว่าฉันจะทำงานเป็นพริตตี้เกิร์ลมาก่อน
แต่ฉันก็ไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้... และฉันก็เป็นเด็กบ้านนอกมากๆ 
เค้าได้พูดคุยกับฉัน ทำให้ฉันไม่เคลียด... ภาษาอังกฤษของฉันไม่ได้เรื่อง แต่ก็เข้าใจเป็นส่วนน้อยมากๆ เพราะเรียนมาก็แค่ ตามระบบ (ทุกคนคงเข้าใจดีว่า เด็กไทยที่จบปริญญาตรีนั้น ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษไปซะทุกคน)
ผ่านไปเป็นชั่วโมง...
เขาก็ถามไต่ตลอดเวลา โดยมีเลขาฯ เป็นคนล่าม
ฉันพึ่งรู้ตอนนี้ว่า เขาทำงานเป็นผู้จัดการโรงงาน แห่งหนึ่งในจังหวัดนี้
และเขามาอยู่เมืองไทย เมื่อห้าปีก่อน มีกำหนดกลับประเทศเขา ก็คือ ฝรั่งเศส ในอีกสองปีข้างหน้า
เลขาฯ ของเค้าก็ถามชั้น ถึงเรื่องส่วนตัว ไปเรื่อยๆ
ฉันก็ตอบตามความเป็นจริง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา..นอกจากจาก พูดโต้ตอบกับเลขาฯของเขาเท่านั้น ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ไม่มองเขา มีแต่หลบตา