12/08/2010

เบื้องหลัง...เวทีแห่งความงาม


     เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น... และเป็นภัยต่อความสวยของผู้หญิง.....โดยถาวรและสิ้นเชิง
เช่น หลิน...สาวน้อยคนนั้น
.....................................................................................................................................
     ฉันเป็นสาวจาก ตจว คนหนึ่ง และยอมรับว่าการเรียนของฉันนั้นโดดข้ามไปข้ามมา และ ครั้งหนึ่งในชีวิต มีโอกาสได้เข้าเรียน เทคนิคฯ สายพาณิชย์ อยู่สองปี ใน จังหวัดทางอิสานบ้านเกิดแม่ 
     เนื่องจากว่า ฉันสอบเทียบ ม.ปลาย แล้วไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติด เลยไปเรียนต่อด้านพาณิชย์ เพื่อเลี่ยงที่จะกลับไปเรียนจนจบ ม.ปลายตามกำหนด
     และในช่วงเวลานั้นครอบครัวฉันสะดุดทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้ฉันต้องรับจ้างหลายอย่างเพื่อเงินเล็กๆ น้อยๆ เช่น รับจ้างทำรายงาน ทำขนมส่งสหกรณ์ในวิทยาลัย หรือรับจ้าง อาจารย์ทำบัญชีในธุรกิจส่วนตัวของท่าน (มันไม่ได้ใหญ่หรอกแต่อาจารย์ท่านอยากช่วยเหลือฉันมากกว่า)
     ซึ่งมีอยู่งานหนึ่ง มีรายได้ดีสำหรับเพื่อนๆ ของฉันบางคน นั่นคือ เดินสายประกวดนางงาม....
ใช่ค่ะ ไม่ผิด เป็นอาชีพหนึ่งจริงๆ  ฉันเองไม่ใช่คนสวย แต่ด้วยความที่ฉันผิวขาวและสูง 169
ทำให้ผู้จัการค่าย เธอชื่อพี่ทราย คิดหนักว่าจะต้องรับฉันเข้าแทนนางงามคนหนึ่งที่ชิ่งไปรับงานอื่นดีหรือไม่
 ในขณะที่พี่ทราย ดันไปรับโควต้าสปอนเซอร์เอาไว้แล้ว   (งงมั๊ยคะ  ในสายอาชีพนี้ เช่น การประกวดธิดากาชาด เค้าจะมีผู้เข้าประกวดจากส่วนงานนั้น ส่วนงานนี้ หรือจากห้างนั้น ร้านนี้  ซึ่งพี่ทราย
ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงฉัน เค้าดันไปแย่งโควค้ามา สี่เจ้า แต่มีนางงามในสต็อกของคืนนี้แค่สามคน ซึ่งขาดนางงามไปหนึ่ง... )
    และพี่ทราย ซึ่งเป็นสาวประเภทสอง จำเป็นต้องรับฉันทั้งๆ ที่ฉันเองก็สวยไม่พอถึงขนาดจะเป็นนางงามได้
“เออวะ  ก็สูง หุ่นพอได้ “ แล้วเธอก็ไล่ฉันไปขัดผิวอย่างด่วน หลังจากที่ตกลงเรื่องผลประโยชน์กันเรียบร้อยแล้ว
   ค่าจ้างคือ ให้เงินฉัน ห้าร้อยบาท และให้ไปรับซองจากกองประกวดเอาเอง  ซึ่งพี่ทรายจะไม่หัก แต่หากได้ตำแหน่ง เค้าจะแบ่ง หกสิบเป็นของฉัน สี่สิบเป็นของเค้า   ฉันไม่มีปัญหาอยู่แล้ว (สมัยนั้น ทองบาทละ 4,800 บาท) 
ฉันได้ฝึกหัดยิ้มและเดินบนส้นสูง เกือบสี่นิ้ว แค่สอง ชั่วโมงก่อนขึ้นเวที  
คืนนั้น ฉันได้เข้ารอบ อีกสองรอบ (และเงินจากซองของกองประกวด จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  จนกระทั่งg-hkรอบสุดท้าย )
พี่ทราย ไม่อยากจะเชื่อว่าฉันได้เข้าอีกสองรอบ คือ เปลี่ยนชุดพื้นเมือง เป็น ชุดกีฬา และชุดพื้นเมืองอีกรอบ แต่คนละชุดกันกับชุดในรอบแรก และวันนั้น ฉันก็ได้เงินรางวัล จากซองของกองประกวด รอบแรก พันห้า  และรอบสอง สองพัน รวมกับห้าร้อยจากพี่ทราย... ฉันดีใจมาก เพราะมันเป็นเงินที่เยอะที่สุด เท่าที่เคยหาได้ด้วยตัวเอง ในตอนนั้น
     และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันเดินสู่สายอาชีพนี้ด้วยความบังเอิญ พี่ทรายชอบฉันมากเพราะฉันไม่เรื่องมาก จะแต่งหน้าแต่งตาอะไรตอนใหนฉันไม่เกี่ยง ให้นั่งรอสองสาม ชั่วโมงฉันก็ทนได้ ไม่บ่น ไม่เหมือนนางงามในสังกัดพี่ทราย ที่มีทั้งผู้จัดการส่วนตัว หรือบางคนมีคุณแม่ มานั่งจ้ำจี้ ตลอดเวลา
อันนี้ไม่ได้ อันนั้นไม่ดีกับน้อง ... แต่พี่ทรายก็ต้องทนอยู่แล้ว เพราะเป็นรายได้หลักของเธอนี่นา
     ในยุคนั้น สาวพริตตี้ไม่ได้เยอะแบบนี้ การประกวดนางงามใน ยุคนั้นจึงยังเป็นที่นิยม
     และฉันก็รับงานในช่วงเทศกาล ตั้งแต่ออกพรรษา ลอยกระทง งานกาชาด งานปีใหม่ ยัน สงกรานต์  ประกวดบั้งไฟ  เรียกว่า เทศกาลเดินสายกันเลยทีเดียว  และหลายครั้งที่ฉันไม่ได้อาบน้ำ สองวันติดกัน เนื่องจาก ลงจากเวทีนี้ ฉันต้องไปเตรียมตัวในงานกลางวันของวันรุ่งขึ้น นั่นก็คือ มีเวลานอนแค่ สอง หรือ สามชั่วโมง   ก่อนที่จะต้องไปเตรียมตัว ขัดผิว อาบแป้ง แต่งหน้า ลองชุด เรียกว่า ก่อนขึ้นเวที ต้องใช้เวลาเกือบ ห้า ชั่วโมงในแต่งละเวที...
     ทีมของพี่ทรายไปเดินสายกันเกือบทุกจังหวัดทางภาคอิสาน ฉันจะมีโอกาสได้ไปก็เฉพาะในวันที่ไม่มีเรียน แต่นั่นก็พอเพียงแล้วกับประสบการณ์ในอาชีพนี้
    สมัยนั้น อายุไม่ถึง ก็ไปบอกให้ถึง และจะนำสำเนาบัตรประชาชน มาส่งกองประกวดทีหลัง  มันไม่ใช่เวทีใหญ่เลยไม่มีใครสนใจมากนัก หรือนำสำเนาของคนอื่นไปใส่แทน และ ชื่อก็ต้องเปลี่ยนเวลาขึ้นเวที ด้วยเหตุอันใดฉันไม่ทราบได้ แต่เหตุผลที่พี่ทรายให้กับฉันคือ เคสของฉันอายุไม่ถึงเกณฑ์ของกองประกวด เลยต้องเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนอายุนั่นเอง
     หากถามถึงตำแหน่งสูงสุด ฉันไม่เคยได้ติดอันดับหรอก เพราะอย่างที่บอกความสวยของฉันมันไม่ถึงขั้น ถ้าเทียบกับเด็กในสังกัดพี่ทรายแล้ว ฉันด้อยกว่าเยอะเลย
     ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เวลาฉันเดินอยู่บนเวทีไม่ตื่นเต้น ไม่ตกใจ ไม่หวั่นไหวและไม่คาดหวัง ทำให้ดีที่สุด ไม่เดินสะดุดรอยตีนเพื่อนนางงามคนอื่นเป็นใช้ได้ (อุ๊ยขออภัย หลุดคำไม่เหมาะแก่อาชีพนางงามออกไป แต่ไม่ทันแล้วแหละ งั้นขอผ่านเลยแล้วกัน)
      มีอยู่งานหนึ่ง เป็นการประกวดนางนพมาศ ของอำเภอเสลภูมิ (ฉันอยู่จังหวัดอื่น)   ฉันได้เบอร์ 31  
วันนั้นพวกเราไปสาย ทำให้ชุลมุนก่อนขึ้นเวที และงานนั้นต้องเดินถือกระทงอีกด้วย.... 
ซึ่งพวกเราไม่ได้เตรียมไป ทำให้พี่ทรายต้อง พรวดออกไป หาซื้อข้างนอกเวที ซึ่งมันไม่ทันแล้ว
ได้มาไม่ครบจำนวนนางงาม..และฉันก็ต้องเป็นคนเสียสละที่จะไม่ได้ถือกระทง ฉันไม่มายด์อยู่แล้ว
เพราะยังไง ฉันก็มาด้วยข้อตกลงเรื่องรายได้ มากกว่า เพราะยังไงฉันก็ไม่ใช่คนที่จะเดินเข้ารอบสุดท้ายอยู่แล้ว
    และพิธีกร เค้าก็เรียกชื่อผู้เข้าประกวดหมายเลขถัดไป  ... ซึ่งเจ้าของชื่อเค้าก็ไม่โผล่ไปสักที
เรียกครั้งที่สอง พี่ทรายวิ่งมาจากใหนไม่รู้ว่า เป็นชื่อฉัน... อ้าวก็ท่านพี่บอกไว้อีกชื่อหนึ่งนี่หว่าและคืนนี้ฉันจะเป็นผู้เข้าประกวดคนสุดท้ายด้วย...  แต่ฉันก็ต้องกระโจนออกไป พร้อมมือเปล่าที่ไม่มีกระทงเหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ
คืนนั้นเวทีส่วนที่ยื่นออกไปให้นางงามเดินโชว์ วางด้วยถังน้ำมันเปล่า ตั้งห่างเป็นระยะและวางพาดด้วยไม้กระดาษอัด เวลาเพื่อนนางงามเดินทีมันก็โยกที..ทำให้ส่วนต่อระหว่างแผ่นเกิดการขยับตัวและมีช่องว่าง...
และฉันก็เป็นผู้โชคร้ายสำหรับคืนนั้น  เพราะฉันไม่ทันได้สังเกตุ จังหวะที่ฉันวางส้นรองเท้าแหลมนั้น 
มันดันเสียบเข้าไปในช่องว่างตรงนั้นพอดี และรองเท้าคู่นี้มันค่อนข้างจะหลวมสำหรับฉันอยู่แล้ว
ทำให้ฉันก้าวท้าวออกไป โดยที่ร้องเท้ายังอยู่ที่เดิม ...ซวยละสิ..
ฉันไม่สะดุดหรอก เพราะโดยธรรมชาติของผู้หญิง ถ้ารองเท้าหลุด ไปข้างหนึ่ง เราจะเขย่งท้าวเดินได้อยู่แล้ว   แต่จังหวะนั้นฉันยิ้มและหัวเราะ เพราะมันขำตัวเอง  พร้อมๆ กับหมุนตัวกลับมารับรองเท้าพยศข้างนั้น แล้วเดินต่อด้วยความมั่นใจ ทำให้ได้รับเสียงปรบมือและหัวเราะพอๆ กับฉันที่หัวเราะเหมือนกัน...
มันเป็นความเปิ่นครั้งที่สองของคืนนี้ จากที่ครั้งแรก ลืมชื่อตัวเองซะงั้น ... แต่ด้วยความเป็นธรรมชาตินั้น กรรมการกลับเลือกฉันเข้ารอบสัมภาษณ์ ซึ่งพี่ทรายลุ้นมาก แต่ฉันก็ตกรอบ สามคนสุดท้าย ไม่ได้ตำแหน่งหรอก แต่เป็นขวัญใจนางงามร้องเท้าหลุด จากนั้นเป็นต้นมา
     ระยะเวลา หนึ่งปีเต็มในปีแรก ที่ฉันอยู่กับพี่ทราย... ไม่เคยมีปัญหา พี่ทรายว่าไรฉันว่าตาม ก็จะไปมีปัญหาไรได้ล่ะ ฉันก็แค่ตัวสำรองของสังกัดอยู่แล้ว และพี่ทรายจะเรียกใช้งานฉันก็เฉพาะที่แกรับงานล้นมา นั่นแหละ แต่นั่นฉันไม่ได้โกรธหรืออะไร เพราะไงพี่ทรายก็จ่ายค่าตัวตลอด พักหลังๆ ฉันกลายเป็นลูกรัก ที่พี่ทรายจะต้องหนีบไปด้วยตลอดเกือบทุกงาน  แต่พี่ทรายก็จัดคิวให้ฉันส่วนใหญ่จะเป็นช่วงกลางคืน และถ้าเป็นกลางวันก็ต้องเสาร์อาทิตย์เท่านั้น
     และตอนนี้แหละที่ชีวิตนางงามของฉันกลายเป็นเวทีที่ใหญ่ขึ้น วิ่งข้ามจังหวัดมากขึ้น ได้รู้จักกับเพื่อนใหม่มากมาย มันก็หน้าเกือบจะเดิมๆ นั่นแหละ แต่คนละพี่เลี้ยงแค่นั้นเอง  ฉันมีเพื่อนที่รู้จักกันดี เธอชื่อหลิน...  
หลินเป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกันกับฉันแต่เธอเป็นรุ่นน้องเพราะฉันเรียนข้ามรุ่น ด้วยวุฒิที่สอบเทียบมานั่นเอง
 เธอเป็นลูกครึ่งแขก  เธอสวยแน่นอน...ที่สุด เธอเป็นคนไม่ค่อยพูด เก็บกดยังไงไม่รู้ เวลาที่พวกเราเล่นกันอยู่หลังเวที หลินมักจะเก็บตัวเงียบ เธอไม่ค่อยสนิทกับใครเป็นพิเศษนอกจากฉัน แต่เราเป็นนางงามคนละสังกัดกัน
นั่นก็เจอกันบ่อยๆ แหละนะแม้จะคนละค่ายก็เถอะ  และเวทีสุดท้ายของหลิน  ก็หลังจากที่เธอคว้าตำแหน่งของเวทีใหญ่ระดับภาคมาครองแล้ว ก็เป็นอันรู้กันว่า เธอต้องเข้าประกวดนางสาวไทยในขั้นต่อไป...
แต่สามเดือนผ่านไป หลินกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน และวันนั้นฉันขี่มอร์เตอร์ไซด์ของป้าไปเยี่ยมเธอที่บ้าน แม่หลินบอกว่าหลินจะไม่เจอใคร ให้แม่ไปถามหลินก่อนก็แล้วกัน
ฉันก็โอเค... แต่หลินก็ยินดีที่ให้ฉันพบ...  สภาพที่ฉันเห็นเธอ คือผ้าขาว แปะด้วยพราสเตอร์ใสที่แก้มข้างซ้ายของเธอ และจมูก
หลินร้องไห้และกอดฉัน... ซึ่งฉันตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง หลินเปิดแผลให้ฉันดู มันเป็นแผลที่ถูกเย็บและเป็นรอยกรีดจากของมีคมที่แก้มซ้าย ยาวเป็นนิ้วเห็นจะได้ และปลายจมูกข้างซ้ายของเธอก็แหว่งจากรอยกรีดเช่นเดียวกัน
“เมียเค้าน่ะลี”  หลินเริ่มเล่า
“เมียเค้ามากับผู้ชายอีก สองคน เค้าเข้ามาในบ้านและทำร้ายหลิน” ซ้อมหลินเมื่อสองเดือนก่อน” ฉันตกใจมาก...นั่นแปลว่าเธอไปเป็นเมียน้อยใครบางคน
“วันนั้นหลินต้องเรียกแท็กซี่ออกไปโรงพยาบาลเอง วันนั้นมันเงียบมาก หลินอยู่บ้านในหมู่บ้านแถวสวนหลวง ซึ่งเป็นบ้านที่เค้าซื้อให้หลิน  หลินโทรหาเค้านะลี แต่ติดต่อไม่ได้เลย จนกระทั่งหลินออกจากโรงพยาบาลหลินก็ไม่กล้ากลับไปอยู่คนเดียว หลินไปเช่าคอนโดฯอยู่ ข้าวของซื้อใหม่หมดเลย ไม่กล้าบอกใคร ไม่บอกทางบ้าน เพราะแม่หลินจะตกใจ”
“ไม่เป็นไรหรอกหลิน มันผ่านไปแล้ว”
“ลี พวกเค้าโหดมากเลยนะ หลินขอชีวิตเค้าแล้ว” เธอร้องไห้ตลอดเวลาที่เล่า “หลินคิดว่าหลินตายไปแล้วนะลี แต่หลินก็ฟื้นขึ้นมา” และตะเกียกตะกายไป โรงพยาบาลเอง มันคงเป็นกรรมของหลินเอง ไม่น่าเข้าไปอยู่ในสถานะนั้นเลย” แล้วเธอก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ฉันบอกเธอว่า “ไม่เป็นไรนี่ เราเริ่มใหม่ได้  ว่าแต่แผลที่หน้านี่ ต้องทำยังไง”
“หมอต้องทำศัลยกรรม มันไม่หายหรอกลี แต่ขอให้มันดีขึ้นกว่านี้เถอะ” ฉันมองที่แผลของเธอ มันคงลึก และการทำศัลยกรรมอาจไม่เพียงพอในการลบแผลนั่น   ฉันสงสารเธอเหลือเกิน
จากวันนั้น หลินก็เข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปขายบ้านหลังนั้นและ ไปรักษาตัวรอการผ่าตัด อนาคตของเธอมันได้จบในเส้นทางนั้นแล้ว และเธอจะใช้เงินจำนวนที่ได้มาจากการขายบ้านนั้นไปเรียนต่อ ที่ออสเตรเลีย เพื่อหนีผู้คนจนกว่าเธอจะทำใจได้  ตอนนั้นหลินอายุเพียงสิบเก้า และเรื่องราวของเธอมันก็ทำให้เธออับอายเกินกว่าจะอยู่ในสังคมเดิมๆ ได้
ฉันยังคิดอยู่ว่า เหตุใดที่เธอต้องไปอยู่ในสถานะแบบนั้น ทั้งๆ ที่เธอควรจะได้ไปไกลกว่านั้นนี่นา
และฉันก็ได้มารู้คำตอบในอีกไม่นานหลังจากนั้น....ว่าเบื้องหลังเวทีนี่มันชั่วร้ายยิ่งกว่า ละครน้ำเน่ายุงไข่ ซะอีก

http://wwwlifeinfrance.blogspot.com/2010/12/blog-post_09.html  ตอนจบค่ะ