12/28/2010

จากใจ ชายแปลงเพศคนหนึ่ง



สิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะทำ... ก่อนที่วันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงอันใกล้นี้ 
 ก็คือ การนั่งรถกลับบ้านไปหาแม่ที่ร้อยเอ็ด... และอยู่ในอ้อมอกของแม่จนวันสุดท้าย
...ฉันชื่อชาตรี... แต่คนทั่วไปจะเรียกฉันว่า คุณชา...(กระแดะเรียกเนื่องจากให้เกียรติฉัน เพราะฉันเป็นพวกคนละสปีชี่กับพวกคุณ)  และหลังจากนั้น ฝรั่งจะเรียกฉันว่า “ที” ที่แปลว่าชา
สมัยที่ฉันเป็นเด็ก เมื่อ สามสิบปีที่แล้ว กว่าที่ครอบครัวจะรู้ว่าฉันเป็น “อีแอบ” นั่นก็ หลังสิบขวบไปแล้ว  แต่ฉันเองรู้ตัวเองตลอดเวลาตั้งแต่จำความได้ ว่าชอบอะไรและไม่ชอบอะไร
ณ พ.ศ.นั้น ประเทศไทยแลนด์ยังไม่อ้อแขนรับอีแอบเหมือนปัจจุบัน แต่ฉันก็โชคดีที่ครอบครัวยอมรับและไม่ได้รังเกียจแต่อย่างใด
เพราะคนทั่วไป...บอกว่าฉันฉลาดและมีเสน่ห์ เอาตัวรอด ฉันยิ้มหวานยิ้มเก่ง คำพูดหวาน พูดเพราะ  คิ้วที่หนาได้รูปนั่น ทำให้ใบหน้าฉันน่ามองมากขึ้น แต่ฉันตัวเล็ก... ผิวคล้ำ...
ฉันมีน้องสาวลูกน้า.. ที่ห่างกันเพียง สามปี ...ตอนเป็นเด็กด้วยความคะนอง ฉันพาน้องสาวลูกน้า ไปเที่ยวตะลอนๆ ในวันหยุดแทบจะทุกหยุด เพราะเราถูกเลี้ยงมาด้วยกัน เนื่องจาก น้าสาวและสามีต้องไปค้าขายจังหวัดอื่น เลยทิ้งน้องสาวของฉันไว้ให้ ยายและป้าๆ ก็คือ แม่ฉันและ พี่สาวของแม่ฉัน (เริ่มงง ใช่มั๊ยล่ะ)  ช่วยเลี้ยงดูเธอ ฉันกับน้องจึงสนิทกัน(อันที่จริงฉันมีพี่ชายแท้ๆ แต่เราไม่ได้สนิทกันมากนัก อาจเป็นว่า ฉันรู้สึกว่าเราคนละเพศ นั่นเอง)
 หลายครั้งที่เราไปเล่นน้ำ ที่ใครๆ ก็เรียกที่นั่นว่า “บึงโดน”  (โดน แปลว่า นาน )  และบึงโดนเป็น บึงขนาดใหญ่อยู่หลังวัดเหนือ... ซึ่งใช้เป็นที่ลอยอังคารมั่ง ลอยสะเดาะเคราะห์อะไรต่างๆ
แต่พวกเราเด็ก..ที่ซุกซุน ไปหาหอย หาปู ตามเพื่อนๆ ในอำเภอนั้น  ... ทั้งๆที่ ครอบครัวเราก็สั่งห้ามนักหนาเพราะมีความเชื่อว่า ที่นั่นจะเป็นแหล่งรวมสิ่งชั่วร้ายที่ไม่มีชีวิตทั้งหลาย ซึ่งจะมีเด็กๆ ไปสังเวยบึงโดนนี่ทุกปีๆ ละ สองคน
และเราก็จะโดนตีหลังกลับมาถึงบ้านเกือบทุกครั้ง เพราะน้องสาวของฉันเธอโกหกไม่เป็น เพราะเธอซื่อและเด็กนั่นเอง...ทั้งๆ ที่กำชับเธอหนักหนาแล้วก่อนเข้าบ้าน  (ตอนนั้นเธอ หก หรือเจ็ดขวบเห็นจะได้)
ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวใหญ่ ที่อยู่ในบริเวณบ้านเดียวกันกับ บ้านยาย  คนในครอบครัวฉันบอกว่า ถ้าอยากรู้อะไรที่เป็นความจริง ให้ถามเอาที่น้องสาวฉัน... ใช่ เธอโกหกไม่เป็น ยันโตแหละ.. และเราก็จะถูกทำโทษแบบ ยืนกอดอก และตีก้นด้วยไม้เรียวไผ่... เรียงแถวโดนตีทีละคนกันเลยทีเดียว
วันนั้น.... ฉันกับน้องก็ไปเล่นน้ำ กับเพื่อนกลุ่มอื่นตามเคย.. สักพัก...น้าสาวฉัน เดินถือไม้เรียวมาตาม...
“ยืนอยู่ตรงนัน้แหละ ใส่เสื้อผ้า ทั้งคู่เลย” น้าใช้ไม้เรียวชี้มา ฉันและน้องรีบลนลาน
“ต่อไปนี้ สั่งห้ามเด็ดขาดว่าไม่ให้มาอีก... “  เด็กๆ แถวนั้น ต่างวิ่งมาดู ฉันกับน้องถูกตี
“ถ้าพาน้องมาอีก พวกสู(พวกเด็กๆ ทั้งหลาย) จำไว้ อย่าให้ไอ้เด็กสองคนนี้เล่นด้วยอีก ไม่อย่างนั้นจะ ตีให้หมดทุกคน และบอกพ่อแม่ของพวกสูทุกคนเลย”  ฉันกลัวมาก เพราะน้าฉันดุกว่าแม่ฉันเป็นร้อยเท่า
แล้วเราสองคนพี่น้องก็ถูกตีต่อหน้าเด็กๆ คนอื่นๆ คนละ สิบที.. เป็นสิบทีที่เจ็บมาก ฉันน้ำตาไหล.. เจ็บจนจำได้ไปอีกหลายปี.. น้องของฉันไม่ต้องพูดถึง น้ำตาไหล ตั้งแต่ไม้แรกที่ถูกก้นฉันโน่นแล้ว ยังไม่ทันถูกก้นเธอด้วยซ้ำไป...
หลังจากวันนั้น เราก็เข็ดไปนาน ไม่ไปบึงโดนอีก... แต่พวกเราไปเดินเล่นที่ตลาดเช้า.. แต่ไปในเวลาที่เขาปิดตลาดแล้ว ก็จะมีแต่แคร่ และเศษหนังสือพิมมั่ง เศษถุงพลาสติกมั่ง ขวดน้ำมั่ง
ถามว่ามีอะไรให้เล่นเหรอ... โอ้..ที่นั่นเป็นเหมืองเพชรเหมืองพลอยสำหรับพวกเรา เพราะเมื่อเราไปขุดคุ้ยใต้แคร่ของแม่ค้าที่ใช้นั่งขายของในตอนเช้านั้น บางครั้ง พวกเราจะเจอเหรียญบาท เหรียญ ห้าสิบสตางค์ (สมัยนั้น เงินห้าสิบสตางค์ยังซื้อขนมได้ อย่าดูถูกเหมืองของฉันนะยะ)
แต่ถ้าวันใหนขุดได้เหรียญห้า  โอ้วันนั้นเลิกงานเร็วค่ะ
หรือพวกขวดพลาสติก เราก็จะเก็บมันกลับมาชั่ง กิโลขาย.. น้องฉันชอบมาก... ไปด้วยกัน
บางทีขายได้ ห้าบาท ฉันแบ่งให้น้อง หนึ่งบาท เธอก็ดีใจสุดๆ แล้ว (ฉันรักน้องใช่มั๊ยล่ะ คุณคงคิดแบบนั้น ขอบใจ!!!! ... ฮึ...)
นั่นเป็นการเริ่มธุรกิจกับน้องสาว ที่แบ่งผลประโยชน์ได้ดีทีเดียว...
จากตลาดสด เราก็เดินขุ้ยเขี่ยไปเรื่อยๆ ... จนไปถึงร้านรับซื้อของเก่า ที่ต้นยาง เลยศาลาลอย (อีกฝั่งหนึ่งของบ้าน)
ปกติ เราจะผ่านบ้านหลังหนึ่งที่มีรั้วสูง เป็นรั้วใส่ตาเขี่ย ชนิดหนา เพื่อป้องกันหมาฝรั่ง พันธุ์ดุ ไอ้ขนยาวๆ ตัวสูงกว่าพวกเราฉันอีก  ซึ่งมันไม่ชอบเด็กหรอก..มันจะเห่าจากในกรงของมันข้ามมาถึงเราที่เดินติดถนนโน่น ไกลนะ แต่เสียงมันดังมาก เหมือนมาเห่าอยู่ตรงหูนี่แหละ
น้องสาวฉันจะกลัว สุดๆ เมื่อมาถึงตรงนี้...
วันนี้ เอาพลาสติกไปขายเสร็จแล้ว.. และก็แบ่งเงินกัน (อย่างยุติธรรมเช่นเคย)  เราสองคนก็เดินกลับมาทางเดิม
วันนี้น้องสาวฉันได้ สองบาทห้าสิบ... (ของฉันไม่ต้องมาอยากรู้หรอกย่ะ เดาเอาก็พอ) พวกเราต่างดีใจมาก และเดินกำเงินเหรียญนั่นไว้ในมืออย่างดีอกดีใจ ทั้งพี่ทั้งน้อง จะเอาไปอวดแม่
พอผ่านมาถึงประตูรั้วบ้านหมาฝรั่งนั่น ไม่รู้ว่า หมามันมาจากใหน แต่มันกระโจนมาทั้งตู มาติดลูกกรงประตูตรงที่เราเดินอยู่พอดี เสียงมันดังมาก ทำเอาฉันและน้องตกใจสุดขีด (คุณคงนึกอารมณ์ออก ที่หมากระโจนมาแบบเราไม่ทันเห็นน่ะ เสียงของมันสยองไปถึงก้นส่วนสุดท้ายเลยแหละ)  
ปกติ หมาฝรั่งตัวนี้มันจะอยู่แต่ในกรง แต่วันนี้มันดันออกมาเดินอาบแดดซะงั้น
เสียงน้องสาวฉัน หวี๊ดดดด ขึ้นมา...
“วิ่ง วิ่ง วิ่งเร็ว “ฉันออกตัววิ่ง เพราะความตกใจ... วิ่งไประยะหนึ่ง ฉันชำเลืองมาดูน้อง
อ้าวไม่มีน้องนี่... หันกลับไปดู...เธอยังร้องหวี๊ดดดอยู่ตรงนั้น เสียงเธอกรีดร้องไห้ ดังแข่งกับเสียงหมา
ฉันตกใจมาก...นึกว่าเธอวิ่งตามฉันมา... แต่ไม่ใช่
ฉันวิ่งกลับไปดึงน้องมา...ด้วยความตกใจ มือที่กำเงินเหรียญด้วยความลิงโลดตอนนั้น บัดนี้ กำแต่แขนเล็กๆ ผอมๆ ของน้อง ลากออกมาจากตรงนั้น...ทั้งหกล้ม กลิ้งหลุนๆ ทั้งฉันและน้อง แต่เราก็ต้องรีบลุกหนีตายว่างั้น
พอผ่านไปไกลแล้ว นึกขึ้นได้...ว่าในมือไม่มีเงินแล้ว หันมาถามน้อง... เธอก็ทิ้งไปแล้วตั้งแต่ตอนตอนใหนก็ไม่รู้ เธอตอบทั้งยังร้องไห้ตัวสั่นอยู่
ฉันต้องกอดคอน้องให้ก้าวเดินต่อไป  บอกว่าอย่าร้องไห้... อย่าร้องไห้
แต่ตัวฉันเองก็ร้องไห้ไปกับน้อง เรียกว่า ร้องไห้แข่งกันเลยก็ได้ ก็ฉันเสียดายเงินที่หามาได้ของวันนี้น่ะสิ ยังไม่เคยหาเงินได้มากเท่าวันนี้เลยก็ว่าได้  และเงินนั่นคงหล่นอยู่แถวๆ หน้าบ้านไอ้หมาฝรั่งนั่นแหละ...ฉันคงไม่กลับไปเก็บหรอก มันน่ากลัวจะตาย... คิดแล้วก็เดินกอดคอน้องสาว ร้องไห้แข่งกันกลับบ้าน...
%%%%%%%%%%%%%%%%%% ตัดไปพรุ่งนี้นะคะ %%%%%%%%%%%%
http://wwwlifeinfrance.blogspot.com/2010/12/blog-post_29.html  ตอน 2  ค่ะ